*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางส่วนของเรื่อง*
ไม่มีใครรู้จักแบร์รี่ เบิร์กแมน
แต่ทุกคนในวงการรู้กันดีว่าหากคุณต้องการดับลมหายใจใครสักคน จ่ายเงินให้ตาเฒ่าฟิวช์ จากนั้นก็รอรับข่าวดีได้เลย เป้าหมายไม่เคยรอดจากเงื้อมมือ “หลานชายของฟิวช์” ได้สักราย เขาทำงานอย่างมือโปร งานเสร็จตามเวลา ไม่ทิ้งร่องรอย แบร์รี่ทำมาหาเลี้ยงชีพเช่นนี้มาหลายปีโดยที่ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง
แต่แล้วมันก็พลาด
เป้าหมายของแบร์รี่ไม่ได้รอดไปได้ เพียงแต่มีเหตุขัดข้องเล็กน้อยทำให้มือสังหารต้องเข้าร่วมคลาสการแสดงละครของมิสเตอร์คูสิโนระหว่างทำภารกิจ การพบเสียงภายในของตัวเองทำให้แบร์รี่อยากรามือจากธุรกิจสังหารแล้วเข้าสู่แวดวงการแสดง แน่นอนว่ามันไม่ง่ายนัก เมื่อพิจารณาจากจำนวนชีวิตที่พินาศไปหลังจากเหตุการณ์นี้
นี่คือเรื่องราวของ Barry ซีรีส์ตลกร้ายของช่อง HBO ผลงานจากความร่วมมือของ Alec Berg (Silicon Valley, Curb Your Enthusiasm) กับนักแสดงตลก Bill Hader (It, The Skeleton Twins) ที่ดำเนินมาถึงซีซั่นที่ 3 แล้วในปี 2022 นี้ ในสองซีซั่นแรก มันคือซีรีส์ตลกชั้นดีที่นำเสนอการค้นพบตัวเองครั้งใหม่ของมนุษย์ผู้แหลกสลายท่ามกลางสถานการณ์ชวนหัวที่มีแต่จะพังพินาศหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ในซีซั่นใหม่ที่เพิ่งออกฉาย มันไปไกลกว่านั้นด้วยการพาเราไปสำรวจบรรดาชีวิตที่หกคะเมนตีลังกาอยู่รอบตัวของแบร์รี่ เบิร์กแมนอย่างคมคาย หลายสื่อคาดการณ์กันว่าเครดิตในฐานะทีมบทและผู้กำกับร่วมของบิล เฮเดอร์สามารถส่งเขาขึ้นเวทีชิงรางวัลสายซีรีส์ได้ไม่ยากเย็นนัก
ต้องขอบคุณทักษะการกำกับและอารมณ์ขันโหดเหี้ยมของของเฮเดอร์และเบิร์กที่สร้างรสชาติแปลกแปร่งให้กับ Barry ตลอดทางที่เรื่องราวดำเนินไป บ่อยครั้ง Barry ทำให้นึกถึงของคนที่ถลำดิ่งลงไปในความมืดโดยไม่คาดคิดอย่าง Breaking Bad หรือ Ozark จะผิดกันก็เพียงแต่ตัวละครของแบร์รี่นั้นไม่ได้บังเอิญตกสู่ความมืด ทว่าเขาอยู่ตรงนั้นอยู่แล้วตั้งแต่แรกต่างหาก คนซื่ออย่างแบร์รี่ไม่ได้ฆ่าคนเพราะไม่อยากทำ บ่อยครั้งที่เขาฆ่าคนนอกเวลางานเพื่อรับใช้ประโยชน์ของตัวเอง (เริ่มต้นที่การฆ่าคนในฐานะทหารเพื่อให้ได้การยอมรับ สู่การสังหารใครก็ตามที่ขวางทางเขากับชีวิตปกติ) เส้นทางไปสู่การหลุดพ้นจากชีวิตมือเปื้อนเลือดของเขาจึงยิ่งนองเลือดทุกขณะ
อีกจุดที่น่าชื่นชมคือ Barry ยังคงรักษาอารมณ์ขันท่ามกลางสถานการณ์สุดแหลมคมเอาไว้ได้โดยไม่บกพร่อง นอกจากรถไฟเหาะทางอารมณ์ที่เหวี่ยงขึ้นลงอย่างรุนแรงเป็นพิเศษ สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากซีซั่นก่อนๆ คือบรรดามุกตลกเกี่ยวกับความบ้าบอคอแตกของชาวฮอลลีวู้ด ณ ห้วงเวลาปัจจุบัน อาทิ มุกล้อแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งยึดถืออัลกอริทึมอย่างเอาเป็นเอาตาย มุกนักข่าวบันเทิงที่ชอบยิงคำถามที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผลงานหรือนักแสดง (เช่น อยู่ดีๆ นักข่าวก็ถามแซลลี่ว่าใครควรได้เป็นสไปเดอร์แมนคนต่อไป) และการใส่ผู้หญิงเข้ามาในทีมพัฒนาบทเพื่อเลี่ยงคำครหาว่าเหยียดเพศ ฮอลลีวู้ดของเฮเดอร์และเบิร์กบ้าคลั่งและเต็มไปด้วยลูกไม้เล่ห์กลไม่ต่างอะไรกับแวดวงมาเฟียในแคลิฟอร์เนีย
Barry ซีซั่นนี้เล่าเรื่องราวของตัวละครห้าตัวขนานกัน ได้แก่ แบร์รี่ (Bill Hader) ชายผู้ที่เพิ่งรอดตัวจากคดีฆาตกรรมเจ้าหน้าที่สืบสวนและสังหารหมู่มาเฟีย เพื่อที่จะมาพบกับชีวิตใหม่อันเบาหวิวเหลือทนในฮอลลีวู้ด แซลลี่ (Sarah Goldberg) แฟนสาวเพื่อนร่วมชั้นเรียนการแสดงของแบร์รี่ที่กำลังไปได้สวยกับซีรีส์สตรีมมิ่งที่ปั้นมาเองกับมือ คูสิโน (Henry Winkler) อดีตครูสอนการแสดงที่หมายมั่นจะล้างแค้นแบร์รี่ที่ลงมือฆ่าคนรักของเขา ฟิวช์ (Stephen Root) อดีตหุ้นส่วนทางธุรกิจของแบร์รี่ที่วางแผนล้างแค้นจากเงามืด และโนโฮ แฮงค์ (Anthony Kerrigan) หัวหน้าแก๊งเชเชนที่รอดมาได้และกำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่อันหวานชื่น
สิ่งที่ยึดคนดูเข้ากับตัวละครที่ไม่น่าเอาใจช่วยที่สุดอย่างแบร์รี่ในซีซั่นนี้คือการแสวงหาการให้อภัยจากคูสิโน ครูสอนการแสดงที่เป็นดังพ่อคนใหม่ของเขา ต่อให้คนดูอย่างเราไม่ได้เอาปืนไปยิงใครตายก็เข้าใจดีว่าของแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ปัญหาของแบร์รี่คือปัญหาเดียวกับจีนในเรื่อง “ฮาวทูทิ้ง” นั่นคือน้ำหนักของความพยายามจะชดใช้ชดเชยความผิดก่อไว้ มันเทียบกันไม่ได้กับความรู้สึกของเจ้าทุกข์ สิ่งที่โนโฮ แฮงค์พูดกับแบร์รี่ในตอนเปิดซีซั่นว่า “การให้อภัยมันเป็นของที่ต้องได้รับมา” (“Forgiveness is something that has to be earned”) เป็นเหมือนกับธีมของซีซั่นนี้
เฮเดอร์อธิบายเส้นทางชีวิตของตัวละครหลักทั้งห้าตัวว่าพวกเขาล้วนตกอยู่ใน ปัญหาแบบแบร์รี่ นั่นคือทุกคนต่างก็ได้รับโอกาสที่สอง แต่พบเขากับอุปสรรคทั้งภายในและภายนอกขวางทางเอาไว้ ลงเอยด้วยการเอาทุกอย่างมาเสี่ยงกับทางออกที่คุ้นเคยที่สุด นั่นคือความรุนแรง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือแซลลี่ คนที่อยู่ใกล้ชิดและซึมซับพิษจากแบร์รี่มาได้อย่างเข้มข้นที่สุด เธอผลักไสแบร์รี่ออกไปเพราะรังเกียจความรุนแรงในตัวเขา ก่อนที่จะมีเรื่องทะเลาะกับอดีตผู้ช่วยแล้วหันกลับมาพึ่งเขาเพื่อข่มขู่คู่กรณี ชีวิตของเธอดิ่งลงเหวทันทีที่กลับเข้าสู่เส้นทางนองเลือดของเขา เธอแทบจะกลายเป็นแบร์รี่ไปแล้วในฉากสังหารไร้เสียงในห้องอัดพอดแคสต์
ตัวละครอีกรายที่มีพัฒนาการน่าสนใจไม่แพ้กันคือคูสิโน ครูสอนการแสดงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่โอหังที่สุดในฮอลลีวู้ดได้รับโอกาสกลับมาเป็นนักแสดงอีกครั้ง ฉากโต๊ะอาหารที่เขาขอโทษเพื่อนร่วมวงการทั้งหลายที่เขาเคยก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้เป็นการย้ำประเด็นอย่างเจ็บแสบว่าต่อให้เขารู้สึกผิดจากใจแค่ไหน ก็ไม่ได้แปลว่าความผิดนั้นจะได้รับการอภัย คูสิโนเปลี่ยนจากคนที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวในตอนแรก กลายเป็นเงาอาฆาตเยียบเย็นในที่กลับมาย้ำเรื่องการให้อภัยอีกครั้งในตอนสุดท้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ส่วนที่ไม่ธรรมดาที่สุดของ Barry คือการที่ผู้สร้างรู้ตัวดีว่ากำลังเล่นตลกกับความรุนแรง แต่พวกแต่ไม่ปล่อยให้มันมีประโยชน์ในแง่ของความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังเป็นใช้มันสำรวจความเสียหายที่ความรุนแรงในโครงสร้างสังคมกระทำต่อมนุษย์อย่างชาญฉลาด ในตอนสุดท้ายของซีซั่น ‘starting now’ พวกเขาตอกลิ่มย้ำให้เห็นสิ่งนี้อย่างคมคายถึงสองครั้งด้วยกัน
ครั้งแรกคือเมื่อแบร์รี่เผชิญหน้ากับอัลเบิร์ต สหายร่วมรบที่เขาเคยช่วยไว้ในสงคราม การพบพานครั้งนี้ไม่มีอะไรน่าอภิรมย์ เพราะฝ่ายหนึ่งคือคนที่เอาศพมากำจัดทิ้ง ส่วนอีกฝ่ายคือเจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษที่จับคนร้ายได้คาหนังคาเขา แบร์รี่เข้าสู่ภาวะตื่นตระหนกทันที อัลเบิร์ตเล่าเรื่องลูกสาววัยสิบขวบให้สหายร่วมรบฟัง “ถ้าตอนนั้นนายไม่ช่วยฉันเอาไว้ เอลซี่คงไม่มีตัวตนอยู่” เขาบอกเพื่อนว่านายไม่ใช่คนชั่วร้าย ขอให้หยุดมันไว้เท่านี้ ก่อนที่จะเดินจากไป
อีกครั้งคือเมื่อแบร์รี่ได้ประจักษ์ว่าการให้อภัยไม่ใช่ของที่ให้กันได้ง่ายๆ ผ่านสายตาของคูสิโน ชายที่เขาเคารพรักราวกับพ่อคนใหม่ ต่อให้เขาไม่ใช่คนฉลาดนักก็เข้าใจได้ทันทีว่าวามรุนแรงของเขาแก้ไขอะไรไม่ได้เลย
ฆ่ากันให้ตายอาจจะง่ายกว่า
สามารถรับชม Barry ทั้ง 3 ซีซั่นได้แล้วทาง HBO Go