‘ฝรั่ง’ คนนี้ เราคุ้นตาจากหนัง ‘ไทบ้าน เดอะซีรีส์’ ชื่อของเขาคือ ภูวเนตร สีชมพู หนุ่มยโสธร ผู้ซึ่งเว่าอีสานได้คล่องกว่าภาษาอังกฤษเสียอีก
ซึ่งด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ได้กันเขาออกจากสังคมอีสานแม้ว่าเขาจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับมันมากแค่ไหนก็ตาม จนกระทั่งวันที่เขาทำหนังเรื่องแรก ก็ยังเป็นหนัง ‘นอกจักรวาลไทบ้าน’ เรื่องแรกของ ‘เซิ้ง’ อีกด้วย
ภูวเนตรเข้าใจดีของการเป็นคนนอก ซึ่งนั่นทำให้เขาได้ถอยออกมามองภาพกว้างของที่ที่เขาอยู่ นั่นทำให้ ‘รักหนูมั้ย’ กลายเป็นงานชิ้นแรกที่สุดทะเยอทะยานด้วยความหวังว่ามันจะมอบความแตกต่างให้กับสังคม ‘หนังอีสาน’ ได้เสียที
ทะเยอทะยานขนาดไหนน่ะหรือ? ก็ขนาดว่ายอมทิ้งฟุตเตจที่ถ่ายไปแล้ว 6 คิว เพราะแบบบ้านไม่ได้อย่างที่ต้องการ และเริ่มใหม่พร้อมรีโนเวตบ้านทั้งหลัง! เพื่อเล่าหนังอบอุ่นเกี่ยวกับหญิงขายบริการทางเพศที่ท้องกับใครไม่รู้
จากประสบการณ์กับ ‘ไทบ้าน เดอะซีรีส์’ เราสนุกกับบทบาทไหนมากที่สุด
หนังเรื่องนี้ผมใช้ทีมงานกรุงเทพฯ นะ เพราะตอนนั้นเหมือนทีมงานเซิ้ง (เซิ้ง โปรดักชั่น แอนด์ออร์กาไนเซอร์) จะติดถ่ายอีกเรื่องคือ ‘ไทบ้าน x BNK48’ ถามว่าพาร์ทไหนสนุกกว่ากันคงคนละแบบ แต่ชอบงานเบื้องหลังมากกว่า
แสดงว่าหนังไม่ได้ถ่ายที่อีสาน?
ถ่ายปริมณฑล ไปเช่าบ้าน ขอเขาทุบบ้านแล้วสร้างใหม่ให้เป็นแบบบ้านที่เราอยากได้ เราไปหาโลเคชั่นจริงๆ มันไม่มีอย่างที่เราอยากได้ ภาพของผมมันจะเหมือนในหนัง Be with You มีชั้นวางกลางบ้าน มีระเบียงไม้ ก็เลยปรึกษาโปรดักชั่นดีไซน์ เขาแนะนำให้เราไปเช่าเอาดีกว่าแล้วทำใหม่ ถ้าเจ้าของบ้านเอาก็โอเค เหมือนทำบ้านให้เขาใหม่เลย ต่อรองกันสักพักเหมือนกัน สุดท้ายก็โอเค โดยผมเช่าบ้านเขาต่อด้วยเพื่อเป็นข้อตกลงแบบที่เจ้าของบ้านเขารับได้มากที่สุด
เรายืดหยุ่นกับแบบบ้านไม่ได้เลยหรือ?
ผมว่ามันต้องเป็นแบบนั้นครับ ผมพลาดไปแล้วรอบนึง (หัวเราะ) เพราะความสะเพร่าของผมเองที่คิดว่าอะไรก็ได้ เอาเท่าที่ได้ ไม่มีบ้านอย่างที่ต้องการก็เซ็ตเอา ให้มันใกล้เคียงที่สุดพอ สุดท้ายมันก็ออกมาไม่โอเคอย่างที่เราอยากได้จริง ทางไทบ้านก็มาขอกับนายทุนให้ว่าขอถ่ายใหม่ได้มั้ย? ตอนนั้นถ่ายไปแล้ว 6 คิว หมดไปประมาณล้านห้าได้มั้ง (หัวเราะ) ผมเหวอไปเลยเพราะฟุตเตจตรงนั้นไม่ได้ใช้เลย ผมเฟลมาก จมอยู่กับมันนานมาก เพราะส่วนหนึ่งเป็นความผิดเราด้วย ถ้าเราตัดสินใจได้ดีกว่านี้ ถ่ายไม่ได้ก็ไม่ต้องไปฝืนถ่าย
แสดงว่าเราซีเรียสกับตัวบ้านมาก? (ภูวเนตรจบการศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์ ม.สารคาม)
ใช่ครับ ทุกอย่างที่เราเห็นในจินตนาการ มันควรต้องมี ยิ่งจินตนาการเราชัดมากเท่าไหร่ มันยิ่งต้องเป็นแบบนั้นมากเท่านั้น เพราะบิ๊กไอเดียผมคือ ‘ความเจ็บปวด’ ผู้ชายสามคนทำผู้หญิงคนเดียวท้อง และยังเป็นผู้หญิงขายบริการด้วย มันรุนแรงมาก แต่จากตรงนั้นผมอยากเล่าเรื่องความเป็นครอบครัวมากกว่า ความอบอุ่นจากการเป็นครอบครัวจริงๆ ซึ่งบ้านมันมีความสำคัญมาก ภาพที่ผมมีคือถ้าทุกคนอยู่ในบ้านด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะอะไรก็ช่าง มันต้องออกมาเป็นภาพที่อบอุ่น บ้านจึงต้องให้ความรู้สึกตรงนั้นได้ ผมดู Be with You บ้านมันดูอบอุ่นมากทั้งที่เป็นหนังดราม่า อยู่กันแค่สามคน ขนาดตัวละครไม่ได้ทำอะไรเลยนั่งแคะหูกันเล่นยังดูอบอุ่นเลย ผมเลยคิดว่ามันไม่ใช่แค่นักแสดงแล้วแหละ แต่บริบทรอบๆ ก็มีผลต่อความรู้สึก ทั้งดีไซน์ ทั้งอุณหภูมิแสง ทั้งการวางเฟรมภาพ ผมเลยค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องเหล่านี้
ทำไมหยิบเรื่องผู้หญิงขายบริการที่ท้องกับผู้ชายสามคนมาเล่าล่ะ? มันดูหนักมากเลยนะ
เอาง่ายๆ ถ้าเราตัดเรื่องผู้ชายสามคนกับหญิงขายบริการออก มันคือเรื่องการท้องไม่พร้อมครับ มันเป็นเรื่องที่เราเจอกันในสังคมเยอะมาก เด็กๆ ไม่ว่าจะระดับการศึกษาไหนก็เจอ ปฏิเสธไม่ได้เพราะวัยรุ่นคือวัยที่พร้อมจะมีเซ็กซ์ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะมีครอบครัว ประเด็นนี้มันเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก จนเราอาจจะมองผ่านมันไป ทำไมเด็กถึงเลือกที่จะทำแท้งเถื่อน ผมมองว่ามันเป็นเรื่องช่องว่างระหว่างวัยรุ่นกับคนรุ่นเก่า ซึ่งเราจะอุดช่องว่างตรงนั้นได้ยังไง ก็ต้องมองหาหนังที่เป็นกรณีศึกษา หนังมันต้องแสดงให้เห็นว่าถ้าท้องไม่พร้อมขึ้นมาจริงๆ ควรปรึกษาใครได้บ้าง จะจัดการปัญหานี้ยังไง แล้วควรให้เรื่องนี้ไปถึงระดับไหน บางบ้านถ้าใครท้องก็แค่จับแต่ง อันนี้ง่ายเกินไป ไม่ได้คิดว่าในอนาคตลูกจะเป็นยังไง เด็กเกิดมาใหม่ทั้งคน มันมีองค์ประกอบของการเป็นครอบครัวอยู่ ก็เลยอยากเล่าเรื่องประมาณนี้ ทั้งสี่คนจะทำให้เกิดความรักได้มั้ย สามารถดูแลกันได้มั้ย โดยที่คาแรกเตอร์แต่ละคนแตกต่างกันสิ้นเชิง ความแตกต่างนี้จะนำไปสู่การถกเถียงด้วยเหตุและผลกัน
คุณโตมาในสังคมแบบไหน?
สังคมที่ทุกคนพูดเรื่องนี้จนเป็นความเคยชิน ผมเลยคิดว่าเรื่องนี้มันอันตราย เพื่อนผมท้องตั้งแต่ ป.6 จนตอนนี้ก็ยังเลี้ยงลูกอยู่เลย ผมโตมากับการที่เพื่อนท้องตั้งแต่ประถมยันมหาวิทยาลัย แต่คำตอบจากคนรอบข้างคือมันเป็นเรื่องธรรมดา ผมกับพ่อไม่ได้อยู่ด้วยกัน พ่อแต่งงานใหม่ แม่ก็แต่งงานใหม่ ผมอยู่กับยาย เลยรู้สึกว่าถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้คำว่าไม่พร้อมมันเกิดขึ้นกับใคร หรือต่อให้ไม่พร้อมก็ช่าง แต่อยากให้มีความอบอุ่นเกิดขึ้นในครอบครัว ครอบครัวจะเป็นใครก็ได้ไม่จำเป็นต้องมีพ่อแม่ จะเป็นน้า เป็นอา แต่สุดท้ายเด็กต้องได้รับการปกป้องให้รู้สึกปลอดภัย ผู้ใหญ่พร้อมจะอยู่เคียงข้าง สังคมหรือบริบทรอบข้างมันส่งผลกระทบกับเด็กแน่นอน สุดท้ายถ้าเราอยากให้ทุกอย่างมันดีขึ้นเราต้องแก้ไขมันตั้งแต่รากเหง้า มีคำพูดนึงที่ไปเจอมาผมชอบมาก เขาบอกว่าผู้หญิงต้องโตไปเป็นสุภาพสตรี ต้องรักนวลสงวนตัว แต่ทำไมไม่ไปปลูกฝังให้ผู้ชายเป็นสุภาพบุรุษเลย มีแต่ให้เป็นช้างเท้าหน้า เลยรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเท่าเทียม คนเลยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับผู้หญิงเท่าไหร่ แล้วผู้ชายยังเป็นเพศที่มีทางเลือกมาก เพราะเรามักจะเป็นฝ่ายไปจีบผู้หญิงก่อน แต่ผู้หญิงมักไม่ใช่ฝ่ายเข้าหา สมมติผู้ชายจีบเขา 5 คน เขาก็มีตัวเลือกแค่ 5 คนนั้น ทำไมเขาเลือกไม่ได้เหมือนผู้ชาย ผู้ชายควรได้รับการปลูกฝังให้เป็นสุภาพบุรุษมากกว่านี้ สังคมจะน่าอยู่กว่านี้ เราจะไม่มองว่าการท้อง การเหยียดเพศ การเหยียดคน เป็นเรื่องธรรมดาหรือมองมันเป็นเรืองตลกอีกต่อไป หน่วยงานรัฐเขาก็มีบริการให้คำปรึกษา แต่เด็กไม่กล้าพูด พูดไปก็ไม่รู้ว่าจะเข้าใจหรือเปล่า ผู้ใหญ่เองก็มีปัญหาที่ไม่สามารถเข้าถึงเด็กได้ เวลาเด็กมีปัญหาก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร ก็เลยไปปรึกษาเพื่อน ซึ่งเพื่อนก็ไม่ได้มีความรู้ไปมากกว่ากันเท่าไหร่หรอก ทุกคนรู้ว่าการป้องกันคืออะไร แต่ไม่รู้ว่าครอบครัวคืออะไร
ทำไมเราถึงใช้ผู้หญิงขายบริการ ทำไมเราถึงทำให้ผู้ชายสามคนทำผู้หญิงคนเดียวท้อง แน่นอนพวกเขาแสดงความรับผิดชอบกับครอบครัวเขาแล้ว และสังคมล่ะแสดงความรับผิดชอบอะไรกับพวกเขาหรือยัง?
การที่เรามีภาพลักษณ์ฝรั่ง มีผลต่อวิธีคิดแบบนี้ยังไง?
มาก เราอยู่ในสังคมของการบูลลี่กันทุกวัน มึงเป็นเกย์ กะเทย ฝรั่ง เห็นคนใต้ อ้าวซาไกรึเปล่านี่ เจอคนสุรินทร์ก็ถามว่าเขมรใช่มั้ย จะอ้วน จะผอม ก็โดนหมด จนมันเป็นเรื่องกระทบจิตใจผมเหมือนกัน อย่างผมก็โดนมาตั้งแต่เด็ก เพราะหน้าตาฝรั่ง แต่ผมเป็นคนอีสานที่หน้าฝรั่งเฉยๆ ผมก็เว่าอีสานเป็นปกติ (สำเนียงอีสาน) ผมก็จะโดนแซวก่อนเลยเพราะรูปลักษณ์ภายนอก ให้เราพูดภาษาอังกฤษอะไรแบบนี้ หน้าฝรั่งแต่เว่าอีสานชัดเป๊ะ เข้าใจแหละว่าการบูลลี่มันตลก แต่บางครั้งมันก็อาจกระทบกระเทือนจิตใจใคร และมันจะทำให้เด็กไม่กล้าแสดงออก กลัว ไม่มีความมั่นใจ
มันจะแก้ได้ยังไง?
ผมว่ามันต้องระยะยาว อย่างแรกคือต้องค่อยๆ เปลี่ยนทีละมุมมอง อย่างที่ผมพยายามทำอยู่ หนังมันอาจไม่ได้ขนาดทำให้คนเลิกบูลลี่กัน แต่เราก็ทำในสิ่งที่พยายามทำอยู่คือเล่าในมุมมองของความเป็นจริง ทำไมเราถึงใช้ผู้หญิงขายบริการ ทำไมเราถึงทำให้ผู้ชายสามคนทำผู้หญิงคนเดียวท้อง แน่นอนพวกเขาแสดงความรับผิดชอบกับครอบครัวเขาแล้ว และสังคมล่ะแสดงความรับผิดชอบอะไรกับพวกเขาหรือยัง? สุดท้ายจะโดนตราหน้าเสียอีกว่ามีผัวตั้งสามคนแถมทำงานเป็นกะหรี่อีกต่างหาก แล้วเคยคิดมั้ยว่าเด็กที่เกิดมาจะอยู่กับสิ่งเหล่านี้ยังไง ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าไม่มีใครอยากเป็นในสิ่งที่คนอื่นรังเกียจ กะหรี่ก็คืออาชีพหนึ่ง ผู้ชายเกิดความใคร่ จ่ายเงิน แล้วจบไป ถ้าสิ่งนี้ถูกกฎหมาย ก็มีสวัสดิการที่ดี มีความมั่นคง มีการจัดการระบบที่ดี ราคาที่แน่นอน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ในวงการของเขาจัดการกันเองอยู่แล้ว แต่กฎหมายยังไม่ยอมรับเท่านั้นเอง มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่เราไม่สามารถยอมรับกับคนอื่นได้ว่าทำงานอะไร
ไม่มีใครอยากเป็นในสิ่งที่คนอื่นรังเกียจ กะหรี่ก็คืออาชีพหนึ่ง ผู้ชายเกิดความใคร่ จ่ายเงิน แล้วจบไป ถ้าสิ่งนี้ถูกกฎหมาย ก็มีสวัสดิการที่ดี มีความมั่นคง มีการจัดการระบบที่ดี ราคาที่แน่นอน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ในวงการของเขาจัดการกันเองอยู่แล้ว แต่กฎหมายยังไม่ยอมรับเท่านั้นเอง มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่เราไม่สามารถยอมรับกับคนอื่นได้ว่าทำงานอะไร
แล้วทำไมถึงเลือกเล่าให้อบอุ่น?
เพราะเซ็ตอัพของเรื่องและคาแรกเตอร์มันรุนแรงพอแล้ว ผมไม่ชอบความรุนแรง ผมชอบความอบอุ่น ผมเลยลองเล่ากรณีแบบนี้ให้อบอุ่น คนก็น่าจะเข้าถึงได้ไม่มากก็น้อย เช่น ถ้ามาดูหนังคุณจะไม่ใช่แค่ได้ความอบอุ่นกลับไป แต่คุณจะได้กลับบ้านพร้อมคำถาม เราปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังคือการขายความรู้สึก ซึ่งที่ขายดีที่สุดคือ ตลก และ อบอุ่น เราจะยึดเวย์นี้เป็นของเราเลย ไม่ว่าเราจะเล่าอะไรก็ช่าง
อย่างผมสร้างสามตัวละครชายออกมาให้แตกต่างกัน มันต้องมีคนที่ได้เปรียบ เสียเปรียบ ประเด็นการถกเถียงก็จะไม่เหมือนกัน ส่วนผู้หญิงคือคนที่ไม่มีทางเลือก เป็นผู้ถูกกระทำโดยสมบูรณ์ เพราะอย่างที่ผมบอกไปคือผู้หญิงไม่ได้มีทางเลือกเท่าผู้ชายอยู่แล้วนี่ ถ้าปฏิเสธทางเดิมที่เดินอยู่แล้วพบว่ามันไม่เวิร์ค เผลอๆ จะย้อนกลับมาทางเก่าไม่ได้แล้วด้วย