Home Review Series Review Kamen Rider Black Sun: โลกไร้พระจันทร์ ดวงตะวันไร้แสง

Kamen Rider Black Sun: โลกไร้พระจันทร์ ดวงตะวันไร้แสง

Kamen Rider Black Sun: โลกไร้พระจันทร์ ดวงตะวันไร้แสง

หมายเหตุ : บทความมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรีส์

เรื่องในวัยเด็กที่ทุกคนรู้จักมันอาจเริ่มต้นด้วยการผ่าตัดมนุษย์ดัดแปลงตามปกติ สองเพื่อนรักที่ถูกทำให้กลายเป็นมนุษย์ดัดแปลงในวัยเด็ก และถูกชะตาฟ้าลิขิตว่าพวกเขาอาจต้องมาห้ำหั่นกันในอนาคต แต่เรื่องถูกผลักดันให้ไปไกลมากกว่านั้น เมื่อเราเห็นเด็กญี่ปุ่นคนหนึ่งขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีของสหประชาชาติ ป่าวประกาศว่ามนุษย์สัตว์ประหลาด หรือไคจิน ควรอยู่ร่วมกันกับมนุษย์ได้อย่างสงบสุข ท่ามกลางสังคมในประเทศญี่ปุ่นเองที่มีการตั้งข้อสงสัยกันว่า ทำไมไคจินจึงมีอยู่ที่ญี่ปุ่นเท่านั้น


ท่ามกลางความขัดแย้งระดับสากล ในระดับประเทศ ก็ยังมีคนที่ไม่ต้องการอยู่ร่วมกับไคจิน พวกเขาเริ่มออกเดินประท้วง ป่าวประกาศว่ามนุษย์ดัดแปลงเป็นเนื้อร้ายของสังคม แต่กลับต้องมาปะทะกับกลุ่มประท้วงของมนุษย์ดัดแปลง ที่ต้องการออกมาเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมในการใช้ชีวิตเหมือนกับคนทั่วไป ทั้งสองกลุ่มปะทะกันกลางถนน ตำรวจเข้ามาควบคุมการประท้วง แต่กลับเลยเถิด เริ่มมีการใช้ความรุนแรง สุดท้ายตำรวจคนหนึ่งยิงไคจินเสียชีวิต มีสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเหตุการณ์ความโกลาหลเหล่านั้น เขาอาจเคยเป็นกลุ่มคนแบบนั้นมาก่อน แต่ดวงตาเขาว่างเปล่าแบบผีตายซาก ไม่สนใจโลก และเรื่องราวความขัดแย้งใด ๆ เขาคือมนุษย์ดัดแปลงในตอนเด็กคนนั้น เขาอาจเคยผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มาก่อน ยุคสมัยแห่งความวุ่นวายโกลาหล แต่ทุกอย่างมันไม่มีความหมายใด ๆ ต่อหน้าเขาเลย

นี่คือแค่ส่วนหนึ่งตอนแรกของ Kamen Rider Black Sun หรือในตอนเด็กที่เรารู้จักว่า “ไอ้มดดำ” (Kamen Rider Black) ที่แตกต่างจากต้นฉบับอย่างสิ้นเชิง เรื่องเล่าที่เราคุ้นชินในวัยเด็ก ว่าด้วยการขึ้นครองเป็นราชันย์ตามคำทำนาย ระหว่างผู้ถูกเลือกสองคนซึ่งเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน ที่ถูกดัดแปลงจากองค์กร “โกลกอม” ผู้ชั่วร้ายที่ต้องการยึดครองโลก แต่มีชายคนหนึ่งที่หนีออกมาได้ก่อนที่จะถูกล้างสมอง มินามิ โคทาโร่ ผู้ที่กลายเป็น “แบล็คซัน” จึงต้องเข้าต่อกรกับโกลกอมเพื่อล้างแค้น นำเอาความสงบสุขกลับคืนมา และต้องสู้กับอีกหนึ่งคู่ปรับและผู้ถูกเลือก อาคิซึกิ โนบุฮิโกะ หรือ “ชาโดว์มูน” ที่ถูกล้างสมองจากองค์กร ทั้งสองจะต้องห้ำหั่นกันไปจนสุดทางจนกว่าจะเหลือเพียงแค่หนึ่งเดียว

แต่เมื่อกลับมาเป็นเวอร์ชั่นปัจจุบัน ที่ฉลองครบรอบ 50 ปีของการกำเนิดไอ้มดแดง พวกเขากลับไม่ได้ทำเพื่อรีแบรนด์ให้เขาถึงได้ทุกเพศทุกวัยเหมือนกับซีรีส์ไอ้มดแดงตามที่เป็นในปัจจุบัน (ที่ค่อนข้างเน้นไปที่การมาร์เก็ตติ้งและฟอร์มใหม่ของไรเดอร์ตัวนั้น ๆ เพื่อให้ได้ไลน์ของเล่นที่หลากหลายเสียมากกว่า) แต่เป็นการเติบโตไปพร้อมกับเด็ก ๆ ที่เคยดูไอ้มดดำฉบับดั้งเดิมที่โตมาตั้งแต่เด็ก กลายเป็นผู้ใหญ่วัย 30-40 ที่ผ่านโลกและสังคมมาพอสมควร เข้าใจถึงเหตุการณ์บ้านเมืองและความขัดแย้งที่เกิดขึ้น การเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยและอุดมการณ์ที่ผันเปลี่ยนไปตามยุคสมัยเช่นกัน ทำให้ไอ้มดดำปี 2022 กลายเป็นเวอร์ชั่นที่มีเนื้อหาที่หนักหน่วง และพ่วงกับฉากรุนแรงที่เกินกว่าจะให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ดูได้

ถ้าหากเราเป็นคนที่ติดตามตั้งแต่ต้นฉบับแล้วได้ดูในเวอร์ชั่นปัจจุบัน มินามิ โคทาโร่ที่เรารู้จักในฐานะผู้ที่ต่อสู้เพื่อล้างแค้นเอาความยุติธรรมไม่มีอยู่แล้ว เขากลายเป็นชายวัยกลางคนขาเป๋ เดินกะเผลก ๆ มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ รับจ้างทำงานสีเทาอย่างเก็บหนี้ลูกจ้าง หรือรับจ้างทำร้ายผู้คน อาศัยอยู่ในซากรถประจำทาง ฉีดมอร์ฟีนเพื่อระงับอาการบาดเจ็บที่ขาเป็นระยะ ๆ ส่วนโนบุฮิโกะที่ใครหลายคนมองว่าเป็นผู้ร้ายสุดเท่ กลายเป็นไอ้หนุ่มที่ไม่ยอมแก่ไปตามโลก ยังคงมีอุดมการณ์ที่สานต่อจากอดีตอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เพิ่มเติมคือความแค้นที่ถูกหักหลัง เพื่อนสนิทและคนรักถูกสังหาร ถูกจับขังอยู่ใต้ดินหลายสิบปีจนหาทางหลบหนีออกมาได้ พร้อมที่จะดำเนินแผนการที่พวกเขาทำไว้ไม่สำเร็จเมื่อ 50 ปีก่อนอีกครั้ง พวกเขามีสิ่งหนึ่งร่วมกันคือ การเคยเป็นวัยรุ่นที่มีแรงใจ ใฝ่ฝัน มีอุดมการณ์ เป้าหมาย และอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคมไปในทางที่ดีขึ้น แต่ปัจจุบันกลายเป็นคนที่ไม่มีอนาคต มีแต่ความหลังที่ล้มเหลวทิ่มแทงกลายเป็นแผลเป็นที่ต้องแบกไปตลอดที่พวกเขายังมีลมหายใจ

ส่วนองค์กร “โกลกอม” ถูกเปลี่ยนจากองค์กรผู้ชั่วร้ายที่พร้อมสร้างมนุษย์ชีวะเพื่อเป้าหมายคือการยึดครองโลก กลายเป็นพรรคการเมืองที่ก่อตั้งมาจากกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต้องการจะทำให้มนุษย์กับไคจินอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข พวกเขาเคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน เหมือนกับผู้คนยุคสายลมแสงแดด แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นพรรคการเมืองที่คอยรับใช้นายกรัฐมนตรีฝ่ายขวาของญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมการผลิตไคจินให้กลายเป็นอาวุธสงคราม ให้รัฐบาลนำไคจินไปขายทอดตลาดให้กับประเทศอื่น มันไม่เคยดีขึ้นเลย หนำซ้ำมันยังแย่ลงกว่า 50 ปีที่แล้ว

สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากต้นฉบับคือ ตัวละครที่จะเป็นตัวแปรสำคัญในเรื่อง อย่าง “อิซึมิ อาโออิ” เด็กหญิงที่มุ่งมั่นจะสร้างโลกที่ไคจินและมนุษย์ต่างอยู่ร่วมกันได้ที่ไม่ใช่เพียงแค่การกล่าวอ้างแค่ลมปากของทางรัฐ เธอมีเพื่อนเป็นไคจินนกกระจอกอย่างชุนสุเกะ และอาศัยอยู่กับน้า เธอไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เพราะพวกเขามีภารกิจที่ต้องทำและไม่สามารถบอกให้ลูกรู้ได้ เธอไม่เคยรู้สึกว่าไคจินเป็นภัยร้ายหรือสิ่งที่คุกคามมนุษย์ให้อยู่อย่างไม่สงบสุขแต่อย่างใด และเป็นเพียงมนุษย์ไม่กี่คนที่สามารถยอมรับไคจินได้อย่างแท้จริง เธอกลายเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการส่งเสียงแทนไคจิน การเดินทางไปที่สหประชาชาติเพื่อทำการเรียกร้องให้ทั่วโลกยอมรับ และเป็นการกดดันรัฐบาลญี่ปุ่นให้ยอมรับถึงการมีตัวตนของไคจินในทางอ้อม โดยมีความเชื่อมันอย่างเต็มเปี่ยมว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างที่เธอต้องการในสักวัน

แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง จุดที่เธอได้เห็นกับโลกแห่งความจริงที่มีมากกว่าแค่การเดินประท้วงธรรมดา ได้เรียนรู้อดีตที่ล้มเหลวของคนรุ่นก่อน สิ่งเหล่านั้นพาให้เขาและเธอต้องถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ เด็กรุ่นใหม่ต้องมือเปื้อนเลือด ต้องแบกรับภาระของการเปลี่ยนแปลง เรียนรู้ถึงการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงผ่านเลือดเนื้อและการสูญเสีย เผชิญถึงความเกลียดชังและความรุนแรง และเมื่อผ่านสิ่งที่กัดกร่อนและทำลายอุดมการณ์ของเธอไปทีละน้อย ถ้าหากเธอยังเลือกเส้นทางเดิม สุดท้ายมันอาจจะกลับมาเป็นจุดจบเดิมที่รุ่นก่อนทำไว้ไม่สำเร็จก็ได้ แต่อีกนัยหนึ่งก็คือการที่เดินทางเพื่อที่จะหลอมให้เธอกลายเป็นผู้นำอย่างแท้จริง คือการปลดพันธะทั้งหมดออกจากตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน พ่อแม่ หรือคนรอบตัว คุณต้องอยู่ตัวคนเดียว สังคมเดียวที่จะอยู่ได้คือสังคมของกลุ่มต่อต้านเท่านั้น ถึงตอนนั้นเธอถึงจะเดินหน้าปฏิวัติได้

โคทาโร่กับโนบุฮิโกะก็เช่นกัน เมื่อตอนวัยรุ่น พวกเขาเองก็เคยมีอุดมการณ์และความฝันที่จะเปลี่ยนแปลงที่จะเรียกร้องให้ไคจินสามารถอยู่อย่างทัดเทียมกับมนุษย์ ทั้งสอง รวมทั้งผองเพื่อน และยูคาริสมาชิกคนสำคัญต่อทั้งสองคน ก่อตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง “โกลกอม” แต่ด้วยความไร้เดียงสาและความกระจัดกระจายทางความคิด พวกเขากลับโดนความไร้เดียงสากลืนกินจากโลกภายนอก กลุ่มแตกกระสานซ่านเซ็นกันไปคนละทิศละทาง กลายเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่ไม่สามารถทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ และด้วยอุดมการณ์อันอ่อนต่อโลกถูกครอบงำโดยระบอบและการเล่นเกมทางการเมือง กลุ่มโกลกอมที่กลายมาเป็นพรรคการเมืองกลายเป็นแค่เบี้ยที่ถูกใช้งานของรัฐบาลยุคปัจจุบัน

จากครึ่งแรกของซีรีส์ที่เดินหน้าเพื่อสร้างความยุติธรรมที่ตัวเองเชื่อ ครึ่งหลังจึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องความเชื่อที่กลายเป็นที่มั่นสุดท้ายของพวกเขาเองซึ่งก็ไม่ได้แน่ใจนักว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องกันแน่ แต่พวกเขาทำได้แค่สู้ เพราะถ้าพวกเขาไม่สู้ ก็จะไม่เหลืออะไรให้เป็นที่จดจำต่อรุ่นถัดไปอีกเลย ซีรีส์ทำให้เห็นว่าคนรุ่นก่อนต่างคนต่างแบกบาดแผลแห่งความผิดพลาดนี้ไว้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม และบาดแผลเหล่านั้น พวกเขาต้องเป็นคนจบด้วยตัวเองเท่านั้น เมื่ออิซึมิจะเป็นคนออกไปจบทุกอย่างโดยเหตุผลของเธอคือการแบกความหวังของไคจินทั้งหมดไว้ แต่โคทาโร่บอกกลับอิซึมิว่าเขากำลังแบกความฝันของตัวเองเมื่อ 50 ปีที่แล้วไว้เหมือนกัน อดีตเหล่านี้จะไม่มีใครสามารถปลดระวางได้จนกว่าจะตัวตาย หรืออุดมการณ์เหล่านั้นกลายเป็นผลสำเร็จ

และยิ่งกลายเป็นสิ่งที่น่าเศร้าไปกว่านั้น เมื่อตอนที่พวกเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองและต้องกลับมาทบทวนว่ามันมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เหมือนกับบัลเจเรีย ผู้ที่เคยเลือดร้อนและแข็งแกร่ง มีอุดมการณ์ที่แรงกล้าไม่แพ้ใครในโกลกอม แต่ปัจจุบันเขากลายเป็นเพียงแค่สุนัขรับใช้ของรัฐบาลให้ทำเรื่องสกปรกเพียงเท่านั้น เขาถามคำถามแรกกับศาสตราจารย์ผู้เป็นเป็นพ่อของโนบุฮิโกะ หนึ่งในเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่เริ่มโปรเจ็กต์ราชาผู้สรรค์สร้าง (Creation King) สิ่งมีชีวิตที่ก่อกำเนิดเรื่องราวของทุกอย่างว่า “พวกเราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า” แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็คือเหล่านักวิทยาศาสตร์เองก็ขี้ขลาดที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเองเหมือนกัน ความเมินเฉยในจุดเริ่มต้นทำให้ปลายทางที่พวกเขามองเห็นเริ่มห่างไกลออกไปทุกที และรุ่นถัดไปก็ยังต้องแบกรับชะตากรรม หรือสิ่งผิดพลาดที่คนรุ่นก่อนทิ้งไว้ให้

สิ่งที่น่าตื่นเต้นเป็นการส่วนตัวคือ เหล่าผู้กำกับที่ได้กำกับซีรีส์โทคุซัตสึในรุ่นปัจจุบัน และเคยเติบโตมาพร้อมกับแฟรนไชส์เหล่านี้พร้อมกับคนดู ล้วนพร้อมเติบโตมาเพื่อทำซีรีส์ที่ให้ผู้ใหญ่ได้รับชม และเน้นไปที่ประเด็นที่หนักหน่วงและก้าวไปไกลกว่าที่ต้นฉบับจะพาไป ทั้ง ฮิเดอากิ อันโนะ (Hideaki Anno) ผู้กำกับ Evangelion แอนิเมชั่นชื่อดังที่เติบโตมาพร้อมกับการทำอุลตร้าแมนเวอร์ชั่นของตัวเองที่สมัยมหาวิทยาลัย ได้ทำ Shin Godzilla ที่ชี้บาดแผลถึงขั้นตอนการทำงานแบบราชการญี่ปุ่นที่ล่าช้าและเต็มไปด้วยจุดติดขัดมากมาย และ Shin Ultraman ที่ร่วมงานกับ ชินจิ ฮิกุชิ (Shinji Higuchi) (ซึ่งรับหน้าที่ออกแบบคอนเซปต์ของซีรีส์ Kamen Rider Black Sun เช่นกัน) กลายเป็นการเล่าเรื่องที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์และความขัดแย้งทางการทูต หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเอง มันจึงน่าสนใจว่าถ้าหากมีผู้กำกับรุ่นใหม่ที่ได้สานต่อซีรีส์โทคุซัตสึต่อไปจากนี้ จะทำให้มันเติบโตต่อไปจากเดิมได้อย่างไรบ้าง

Kamen Rider Black Sun ก็เติบโตมาในเส้นทางนั้น มันกลายเป็นภาพทับซ้อนเมื่อยุคสมัยของนั้นเริ่มต้นอยู่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่เป็นบาดแผลของคนญี่ปุ่นที่ต้องแบกรับร่วมกันคือการแพ้สงครามโลก ก่อเกิดการทำสัญญาความมั่นคงเพื่อเปิดโอกาสให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาตั้งพื้นที่ในการก่อตั้งฐานทัพและเผยแพร่แนวคิดของอเมริกา ที่เรียกว่าสนธิสัญญา Anpo จนทำให้มีขบวนการนักศึกษาหลายมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นออกมาเดินขบวนเพื่อประท้วงที่เรียกว่า ขบวนเซงงะกุเรง (Zengakuren) เพื่อต่อต้านรัฐบาลญี่ปุ่นยังคงเปิดรับให้อเมริกาสามารถตั้งฐานทัพ และความเคลื่อนไหวที่ห่างความเป็นประชาธิปไตยออกไปทุกที ถึงแม้การประท้วงครั้งนี้จะเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น แต่จุดสุดท้ายของการต่อต้านสนธิสัญญา Anpo และการประท้วงของเหล่าไคจินนั้นจบลงไปในทางเดียวกันคือความล้มเหลว แต่สิ่งที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศ เป็นการแสดงถึงพลังของประชาชน และช่วยขยับเพดานของการแสดงออกถึงสิทธิในระบอบประชาธิปไตย

ซีรีส์เรื่องนี้จึงอาจกลายเป็นโลกคู่ขนาน หรืออาจจะเป็นสาส์นของการเขียนประวัติศาสตร์ที่ทับซ้อนลงไปของผู้สร้าง แต่อาจจะไม่ได้ดัดแปลงด้วยมนต์เสน่ห์แห่งภาพยนตร์ได้เทียบเท่ากับ Once Upon A Time In Hollywood ของ เควนติน ทารันติโน (Quentin Tarantino) ที่พลิกประวัติศาสตร์ทำให้บุคคลที่เคยเสียชีวิตยังมีลมหายใจต่อไปในโลกของภาพยนตร์ เพราะเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และสิ่งที่ทำได้คือการสอดแทรกประวัติศาสตร์ที่เลวร้ายลงไปในสื่อ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องซ้ำรอยเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในเรื่องนี้

เราอาจมองได้ว่าไคจินนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยความผิดพลาดทางธรรมชาติ แต่เป็นฝีมือของมนุษย์ด้วยกันเอง และอาจกลายเป็นผลลัพธ์ที่สืบทอดจากสงครามโลกที่น่าเศร้า เพราะญี่ปุ่นเองก็เคยกระทำความผิดที่ถือว่าร้ายแรงและชวนตั้งคำถามเป็นอย่างมาก กับการทดลองทางวิทยาศาสตร์กับมนุษย์ที่ยังมีชีวิตและเป็นเชลยศึกในประเทศจีน จนกลายเป็นการทดลองที่น่ากลัวและหดหู่ในประวัติศาสตร์จากหน่วย 731 (สามารถหาดูได้ในเรื่อง “จับคนมาทำเชื้อโรค” หรือ Men Behind The Sun) และผลลัพธ์ที่หลงเหลือจากการทดลองคือราชาผู้สรรค์สร้างที่อาจเป็นกลุ่มก้อนอุดมการณ์ของคนรุ่นแรกก่อนหน้าโคทาโร่ที่กลายเป็นเพียงแค่ฝันร้ายของคนรุ่นหลัง

และถึงแม้ตัวโคทาโร่กับโนบุฮิโกะที่กลายเป็นคนที่สืบทอดผลจากการทดลองจะสามารถแปลงร่างได้ มีพละกำลังที่แข็งแกร่งมากกว่ามนุษย์และไคจิน และใกล้เคียงกับราชาผู้สรรค์สร้างเอง แต่การแปลงร่างนั้นไม่เหมือนกับภาพอันสวยหรูที่เราเคยเห็นในสมัยเด็ก ๆ มีเพียงแค่พวกเขาก็เทียบเท่ากับทั้งองค์กรจนสามารถกำจัดความชั่วร้ายให้สิ้นซากได้ การมีเพียงแค่พละกำลังไม่สามารถล้มล้างระบบที่ฝังรากลึกมาตั้งแต่สมัยเก่าก่อน เพราะการจะถอนรากคอนโคนระบอบได้นั้นต้องใช้มากกว่าแค่หนึ่งคน บทสรุปสุดท้ายของซีรีส์จึงเป็นที่น่าพอใจสำหรับผู้เขียน เมื่อทุกอย่างคลี่คลายลงจากการต่อสู้เพียงแค่คนไม่กี่คน สุดท้ายมันก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือ การกำเนิดใหม่ของขบวนการต่อต้านพร้อมกับสัญลักษณ์อินฟินิตี้ ซึ่งอาจไม่ได้มีความหมายแค่ว่า การอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และไคจินอย่างกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่อาจบอกได้ว่า พวกเขาและเธออาจต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพและความเท่าเทียมต่อไปไม่รู้จบ มันอาจจะจบเหมือนเดิมก็ได้ หรือมันอาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้นกว่าก็ได้

แต่ถ้าเราไม่ทำ แล้วใครจะทำ

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here