ปรับตัวก็ยังไม่รอด …โรงหนังทางเลือกสิงคโปร์เปิดระดมทุนต่อชีวิตอีกครั้ง

New Normal หรือ ‘ความปกติใหม่’ เป็นคำที่ถูกพูดถึงอย่างรุนแรงในภาวะที่เราต่างเริ่มปรับตัวกับสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ได้แล้ว และมองหาความปกติใหม่ -หรือสิ่งที่ผิดปกติของโลกก่อนเกิดโรคระบาด แต่จะกลายเป็นสิ่งปกติในชีวิตประจำวันหลังจากนี้- เพื่อปรับตัวเสียแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นได้ เราต้องอยู่รอดในช่วง lockdown นี้ให้ได้ก่อน…และกลุ่มธุรกิจที่ดูจะน่าเป็นห่วงเหลือเกินคือ ‘โรงหนัง’

มีโรงหนังหลายแห่ง โดยเฉพาะโรงหนังทางเลือก ปรับตัวเพื่อเข้าสู่ New Normal หลังจากผู้คนเริ่มคุ้นชินกับการดูหนังอยู่บ้านแล้ว อย่าง The Projector โรงหนังทางเลือกแห่งเดียวในสิงคโปร์ ที่กำลังไปได้สวยแต่เมื่อโรงปิดนานครบเดือนแล้วก็พบว่าสิ่งที่ปรับตัวไปและการช่วยเหลือจากภาครัฐยังไม่เพียงพอต่อการอยู่รอด

The Projector รีโนเวทมาจากโรงหนังเก่าขนาดใหญ่ Golden Theatre ด้วยเงินที่มาจากการระดมทุน จนแล้วเสร็จเมื่อปี 2015 ด้วยจุดเด่นนอกเหนือจากโปรแกรมที่คัดสรรมาเฉพาะหนังทางเลือกและอีเวนท์มันๆ โรงยังตกแต่งในบรรยากาศแบบโรงหนังเก่าแตกต่างจากโรงมัลติเพล็กซ์ทั่วไป

เพราะความเป็นแหล่งพึ่งพิงทางวัฒนธรรมของสิงคโปร์นี้เอง ทำให้ตลอดเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา โรงหนังได้สร้างกลุ่มลูกค้าหนาแน่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อเดือน ม.ค. 2020 The Projector ทำผลประกอบการดีที่สุดตั้งแต่เปิดกิจการมาเลยทีเดียว จนเมื่อรัฐบาลประกาศปิดโรงหนังตั้งแต่ 28 มี.ค. The Projector ก็หาทางรอดสุดชีวิต

วิธีปรับตัวของ The Projector คือสร้างกิจกรรมต่อเนื่องทางเว็บไซต์ ทำให้พวกเขาที่แม้จะทำงานกันที่บ้านแต่เหมือนจะงานหนักกว่าเดิม เช่น จัดประกวดหนังสั้น Circuit Breaker Short Film Competition ที่เปิดให้คนทั้งโลกดูหนังและโหวตเรื่องที่ชื่นชอบได้ฟรีระหว่างกักตัว, ฉายสารคดี I Dream of Singapore ที่ว่าด้วยชีวิตแรงงานต่างชาติ ควบคู่ด้วยเฟซบุ๊กไลฟ์ กับ Transient Workers Count Too องค์กรไม่แสวงผลกำไรเพื่อแรงงานต่างชาติ และ ริปอน โชธุรี ชาวบังคลาเทศที่มาทำงานในสิงคโปร์ ทั้งยังผลิตสินค้าที่ระลึกมาขายด้วย รวมไปถึงพวกเขายังทำคลิปโปรโมทจากเกมนินเทนโดที่กำลังมาแรงในช่วงกักตัวนี้ อย่าง Animal Crossing

สถานการณ์ของ The Projector ขณะนี้อยู่รอดได้จนจบเดือน พ.ค. ด้วยความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่มันไม่เพียงพอที่จะเยียวยาต่อเนื่องหลังจากนั้น คาเรน ตัน ผู้ก่อตั้งโรงกล่าวว่าลำพังไม่มีโรคระบาดก็อยู่ยากอยู่แล้ว เพราะในประเทศที่เข้มงวดในกฎระเบียบไปหมดอย่างสิงคโปร์ ทำให้หนังที่แตกต่างหลากหลายใน The Projector เป็นสิ่งที่คนดูยังไม่คุ้นเคย พวกเขาจึงจำเป็นต้องระดุมทุนระลอกใหม่เพื่อหล่อเลี้ยงโรงให้เดินต่อหลังจากนั้นได้

The Projector ได้ทุนตั้งต้นจากการระดมผ่าน Indiegogo มา 77,000 เหรียญสหรัฐฯ แต่ทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายของพวกเขาทะยานไปกว่า 100,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน ใครอยากสนับสนุนให้วัฒนธรรมทางเลือกเบ่งบานยิ่งขึ้นในสิงคโปร์ เข้าไปสนับสนุนพวกเขาได้ ที่นี่

Related NEWS

LATEST NEWS