The Truth โลกนี้คือละคร

(2019, Hirokazu Koreeda)

หนังสืออัตชีวประวัติของฟาเบียงเพิ่งวางแผง ฟาเบียงคือดาวค้างฟ้า เธอคือนักแสดงหญิงฝรั่งเศสที่เป็นเหมือนกำแพงตระหง่านต่อหน้านักแสดงสาวในฝรั่งเศสทุกคน เช้าวันนั้น เธอกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวนิตยสารคนหนึ่ง เขาถามเธอว่าใครคือคนที่จะมองว่าจะสืบทอดตำแหน่งต่อจากเธอ เธอจุดบุหรี่สูบด้วยมาดของนางพญาที่รำคาญเล็กน้อย เธอคิดว่าไม่มี

ตอนนั้นเองที่ลูกสาวของเธอโผล่มา ลูเมียร์ลูกสาวของเธอเป็นคนเขียนบทในอเมริกา แต่งงานไปกับนักแสดงทีวีเกรดบีชาวอเมริกัน มีลูกกันหนึ่งคน ยกครัวกันมาเพื่อร่วมยินดีกับหนังสือที่พิมพ์ครั้งละหนึ่งแสนเล่มของเธอ คนทั้งโลกอาจจะรักเธอแต่ก็เว้นลูกสาวเธอไว้คนหนึ่ง

แล้วหนังสือก็สร้างความวุ่นวายให้ชีวิต ลูเมียร์มาเพื่อบอกว่าแม่โกหกแม้แต่กับเรื่องของตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องของลูกสาว ผู้จัดการส่วนตัวของเธอวางแผนจะลาออก เพราะเขารับใช้เธอมาหลายสิบปี แต่เธอไม่แม้แต่จะพูดถึงเขาในหนังสือตัวเอง ก็มันหนังสือของฉัน ความจริงของฉัน เธอกล่าว ยุ่งขึ้นไปอีกเมื่อเธอกำลังรับเล่นหนังเรื่องหนึ่ง หนังว่าด้วยแม่ที่ป่วยเลยต้องไปอยู่ในอวกาศ กลับดาวโลกเจ็ดปีครั้ง และเนื่องจากเวลาบนยานอวกาศกับบนโลกไม่เท่ากัน แม่จึงไม่แก่ลงแต่ลูกสาวที่ถูกแม่ทอดทิ้งแก่ตัวไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าฟาเบียงไม่ได้เล่นเป็นแม่ แต่รับบทลูกสาวที่ถูกทอดทิ้งในวัยชรา หนำซ้ำในหนังเรื่องนี้เธอต้องปะทะกับดาราสาวสวย มานง คนที่ชอบเธอ และประพิมพ์ประพาย คล้ายกับ ซาราห์ นักแสดงสาวอีกคนที่เคยสนิทสนมกับเธอ คอยดูแลและรักลูกสาวเธอมากกว่าเธอ คนที่เธอใช้เล่ห์กระเท่ห์ของนักแสดงทำลายชีวิต และลูกสาวเธอไม่มีวันให้อภัยให้เธอในเรื่องนี้ ความจริงของเธอถูกท้าทายจากความจริงของคนอื่น และภาพยนตร์ที่ดูไม่มีความจริงกลับเป็นความจริงที่ยิ่งกว่าจริงของเธอ

นี่คือภาพยนตร์นอกญี่ปุ่นเรื่องแรกของ Hirokazu Kore-eda หนึ่งในผู้กำกับชาวญี่ปุ่นร่วมสมัยที่มีคนรักมากที่สุดคนหนึ่งของโลก หนังของ Kore-eda เกินครึ่งมักวนเวียนอยู่กับเรื่องของครอบครัว เขามักสนใจสืบค้นความหมายของครอบครัวในแบบต่างๆ ที่ไม่ได้ตายตัวแค่พ่อแม่ลูก แบบครอบครัวเดี่ยว หรือครอบครัวขยายแบบโบราณ แต่มันอาจเป็น พี่สาวสามคนกับน้องสาวต่างมารดา (Our Little Sister) ลูกชายต่างสายเลือด (Like Father, Like Son) ครอบครัวที่ปราศจากความเป็นแม่ (Nobody Knows) ไปจนถึงครอบครัวอุปโลกน์ (Shoplifter) และหากเขาพูดถึงครอบครัวตามนิยามเดิมครอบครัวก็มักพร่องพิการ มีปมหลังฝังใจกับความตาย (Still Walking) หย่าร้าง (I Wish) มีพ่อที่ไม่ได้เรื่อง (After The Storm) และในเรื่องนี้คือเรื่องของแม่ที่ไม่เอาไหน จนอาจบอกได้ว่า หนังสองเรื่องนี้เป็นเหมือนคู่แฝดของกันและกันในการพูดถึงความสัมพันธ์ที่หักพังจนไม่สามารถประกอบกู้คืนอดีตได้ เพียงแต่ทำได้เพียงยอมรับ คลี่คลาย และกล่าวลา

After the Storm เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของพ่อที่ไม่เอาไหนกับลูกชาย พ่อที่กลายเป็นชายวัยกลางคนที่หลอกเงินคนอื่นไปทั่ว ยังต้องมาอาศัยแม่ตัวเองอยู่ และไม่ค่อยใส่ใจลูกชายตัวเอง หนังคว้าจับช่วงเวลาสุดท้ายที่ครอบครัวไม่สมประกอบ พ่อ แม่ ลูก และแม่ของพ่อ จะได้อยู่ด้วยกัน เรียนรู้ว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้ว และชีวิตคือการไปจากกัน ในขณะ The Truth พูดถึงแม่ที่ไม่ได้เรื่อง แม่ที่รักจะเป็นดารามากกว่าเป็นแม่ ลูกสาวเติบโตมาด้วยความรู้สึกห่างเหิน ตอนนี้เธอมีลูกของตัวเอง เธอรักลูกทดแทนการที่แม่ไม่รักเธอ รักจนเกือบจะต้องแสดงให้แม่เห็นว่าครอบครัวแสนสุขคืออะไร แต่ดูเหมือนนั่นไม่อาจทำอะไรแม่ได้เลย

ดูราวกับว่าแม่มีตัวเองเป็นศูนย์กลาง และหนังทั้งเรื่อง เป็นเช่นผู้คนในชีวิตของเธอ คือเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่หมุนรอบตัวเธอ โดยมีเธอเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และหนังยั่วล้อไปกับความจริงจากสายตาของศูนย์กลาง และความจริงจากสายตาที่มองกลับมา

เราอาจบอกว่าหนังทั้งเรื่องเริ่มต้นจากการต่อต้านความจริง ลูเมียร์มาปารีสเพื่อต่อต้านความจริงของแม่ที่เธอมั่นใจว่ามันไม่ใช่ความจริง แม่เขียนหนังสือเกี่ยวกับตัวเอง หนังบอกเป็นนัยว่าเธอขออ่านต้นฉบับก่อนตีพิมพ์ แต่แม่ไม่ส่งให้ แม้เมื่อออกมาเป็นเล่มแม่ก็ไม่ส่งให้อยู่ดี เธอจึงมาอ่านมันด้วยตัวเอง เพื่อที่จะบอกว่าความจริงของแม่เป็นเรื่องโกหก และฉากที่สำคัญมากๆ คือการถกเถียงระหว่างลูเมียร์กับฟาเบียงในเรื่องนี้ เมื่อฟาเบียงบอกว่านี่มันหนังสืออัตชีวประวัติของฉัน มันเป็นความจริงของฉัน ฉันจะเขียนอะไรก็ได้ และพูดถึงสิ่งที่สำคัญว่า เธอเป็นนักแสดง นักแสดงไม่อาจเล่าความจริงที่เปลือยเปล่า ความจริงของนักแสดงล้วนคือการตีความทั้งสิ้น

ความจริงจึงไม่ใช่ความจริง แต่คือการตีความข้อเท็จจริง เราประสบกับเหตุการณ์ เรารับรู้มัน เราหยิบเอาข้อเท็จจริงมาตีความใหม่ และมันกลายเป็นความจริงขึ้นมา อาจจะยิ่งจริงมากขึ้นเมื่อคนอื่นตีความคล้อยตามการตีความของเรา แต่ถ้าทุกคนเห็นตรงข้ามกับเรามันก็ยังเป็นความจริงสำหรับเราอยู่ดี ความจริงของลูเมียร์จริงกว่าความจริงของแม่ เพราะดูเหมือนแม่ตีความข้อเท็จจริงต่างไป และนั่นคือคุณสมบัติของแม่

แม่มักพูดเรื่องคนเรามีคุณสมบัติเพียงอย่างเดียว เช่นฌาคส์ สามีของแม่มีคุณสมบัติของพ่อครัวมากกว่านักรัก หรือคนนั้นมีคุณสมบัติที่ความสวยแต่ไม่ใช่การแสดง และแม่อาจจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่นตรงที่แม่หาคุณสมบัติข้อเดียวของตัวเองเจอก่อนคนอื่น คุณสมบัติของแม่คือการเป็นนักแสดงไม่ใช่การเป็นแม่

ความจริงของแม่คือการที่แม่ทุ่มชีวิตให้กับการแสดง (และนั่นทำให้ความความหยิ่งผยองเยี่ยงนางพญาของแม่เป็นสิ่งที่แม่สมควรได้รับ) และเพราะแม่เข้าหาโลกผ่านทางการแสดงไม่ใช่ชีวิต แม่จึงเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม พิเศษกว่าคนอื่น แต่ก็หมายความว่าพิลึกกว่าคนอื่น

แต่การแสดงเป็นเรื่องประหลาด เพราะการแสดงถูกนับเป็นการโกหก เพราะฉะนั้นความจริงของแม่จึงยืนอยู่บนพื้นฐานของการโกหก เราอาจตัดสินใครบางคนในชีวิตว่ากำลังแสดง แสดงว่ารัก แสดงว่าทุกข์ การแสดงเป็นขั้วตรงข้ามของความจริง แต่สำหรับแม่ การแสดงต่างหากคือความจริง การโกหกคือการแสดงความจริงที่ดีที่สุด ประณีตและละเอียดลออกว่าความจริงที่เปลือยเปล่า มันจึงงดงามมาก เมื่อแม่ที่ต้องการง้อผู้จัดการส่วนตัวที่รับใช้แม่มาหลายสิบปี ผู้ซึ่งตัดสินใจลาออกหลังจากพบว่าแม่ไม่ได้เขียนถึงเขาเลยในหนังสือ และแม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีหลานแล้ว สิ่งที่แม่ทำไม่ใช่การไปขอโทษซึ่งหน้าอย่างจริงใจ ความจริงใจนั้นไม่จริงสำหรับแม่ แม่จึงขอให้ลูกสาวร่างคำขอโทษให้แม่ เพื่อให้แม่เอาไปตีความ การตีความของแม่ต่างหากคือความจริง ช่องว่างระหว่างบทที่ถูกเขียนขึ้นกับการแสดงของแม่ต่างหากคือความจริง กล่าวให้ถึงที่สุด การแสดงสำหรับแม่ไม่ใช่การโกหก แต่คือวิธีการที่ตรงไปตรงมาที่สุดในการเข้าถึงความจริง นั่นทำให้แม่เป็นนักแสดงที่เยี่ยมยอด เพราะแม่ไม่ได้แสดง แต่ตีความความจริงทุกครั้งที่อยู่บนจอ สำหรับแม่ ละครจึงไม่ใช่การหลอกลวง โลกนี้คือละคร

แต่การแสดงเป็นเรื่องประหลาด เพราะการแสดงถูกนับเป็นการโกหก เพราะฉะนั้นความจริงของแม่จึงยืนอยู่บนพื้นฐานของการโกหก เราอาจตัดสินใครบางคนในชีวิตว่ากำลังแสดง แสดงว่ารัก แสดงว่าทุกข์ การแสดงเป็นขั้วตรงข้ามของความจริง แต่สำหรับแม่ การแสดงต่างหากคือความจริง การโกหกคือการแสดงความจริงที่ดีที่สุด ประณีตและละเอียดลออกว่าความจริงที่เปลือยเปล่า มันจึงงดงามมาก

หากในคราวนี้แม่กลับต้องเรียนรู้ความจริงจากการแสดง เมื่อในช่วงที่ลูกสาวกลับไป แม่กำลังเตรียมตัวรับบทใหม่ในหนังที่มีชื่อว่า ‘ความทรงจำของแม่’ แต่แม่ไม่ได้เล่นเป็นแม่ที่ทอดทิ้งลูกสาวหากเล่นเป็นลูกสาวที่ถูกแม่มทอดทิ้ง กล่าวให้ถูกต้อง ฟาเบียงได้เล่นเป็นสิ่งที่ลูเมียร์ลูกสาวของเธอเป็นในชีวิตจริง เรื่องราวของหนังคือการที่แม่ป่วยจึงตัดสินใจไปใช้ชีวิตในอวกาศเพื่อยืดการตายออกไป เพราะเวลาบนนั้นกับบนโลกไม่เท่ากัน แม่จะกลับมาหาลูกสาวทุกเจ็ดปี ในแต่ละครั้ง แม่ยังคงสาวสะพรั่ง หากลูกสาวกลับร่วงโรยไปตามกาลเวลา และฟาเบียงรับบทลูกสาวที่กำลังจะตาย ได้พบแม่อีกครั้งในภาพที่แม่ยังคงเป็นสาว ในหนังเรื่องนี้ ฟาเบียงต้องเล่นกับมานง ดาราสาวหน้าใหม่ที่ใครต่อใครก็บอกว่าประพิมพ์ประพายคล้ายซาร่าห์ สำหรับฟาเบียง นี่จึงเป็นการแสดงที่พาเธอกลับไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่หลอกหลอนเธอ ลูกสาวที่เธอทอดทิ้ง และผู้หญิงที่เคารพเธอและเธอทำให้ทุกอย่างพัง

หนังจึงงดงามมากๆ เมื่อเราพบว่าฟาเบียงผู้แข็งแกร่ง คนถือคติ ‘อ่อนแอก็แพ้ไป’ กลับอยู่ในจุดที่อ่อนแอ นักแสดงสาวคนนั้นอาจจะเป็นคนแรกที่ปีนข้ามกำแพงชื่อฟาเบียงได้ เธอต้องยอมรับว่าเธอจะไม่ใช่หมายเลขหนึ่งไปตลอดกาล ต้องยอมรับว่าอ่อนแอและแพ้เป็น แล้วนักแสดงคนนั้นยังเป็นเหมือนการกลับมาล้างแค้นของผีที่หลอกหลอนเธอตลอดชีวิต ผีที่เธอต้องเผชิญหน้าอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก หนำซ้ำเธออาจจะเพิ่งเข้าใจว่าลูกสาวของเธอต้องผ่านความเจ็บปวดมากขนาดไหน ซึ่งแน่นอนว่านั่นไม่ได้ทำให้เธอหันมาปรับความเข้าใจกับลูกมากไปกว่าใช้ความเจ็บปวดนั้นมาทำความเข้าใจตัวละคร (และลูกสาวก็อาจจะไม่ต้องการการเยียวยาใดๆ อีกต่อไปแล้ว) เธอจึงจู่ๆ นึกขึ้นมาได้ว่าต้อง ‘แสดง’ อย่างไรในฉากสำคัญ นึกขึ้นมาได้ ในช่วงเวลาที่เธอกับลูกสาวได้เปิดใจกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี และทั้งหมดอยู่ในการเล่นกับผมครั้งหนึ่ง

ผมกลายเป็นสัญญะสำคัญของหนัง ตัวละครหญิงในหนังเชื่อมโยงกันด้วยผม การหวีผมและการทำผม ชาร์ลอตต์หลานสาวเล่าให้ยายฟังว่าแม่ไม่ชอบให้เธอหวีผม แม่ชอบหวีผมเอง แต่เธอได้หวีผมให้ยายขณะที่ลูกสาวหวีผมให้แม่แต่ไม่สำเร็จ การปล่อยผมกับมัดผมกลายเป็นการแสดงสภาวะทางอารมณ์ของทั้งฟาบียง ลูเมียร์ มานง และชาร์ลอตต์ ในการรับบท (เป็นตัวละคร เป็นนักแสดง เป็นผู้จัดการนักแสดง) ทุกคนม้วนผม (ทรงผมแบบเดียวกับ Kim Novak ใน Vertigo ของ Hitchcock ที่เธอรับบทเป็นผู้หญิงสองคนเช่นกัน) แต่ในทันทีที่ทุกคนปล่อยผม ทุกคนกลับคืนสู่ภาวะนอกการแสดง เปิดเผยความจริงต่อกัน แต่ความจริงในหนังไม่มีผลอะไรพิเศษ ผลชนิดเดียวที่มันมีคือการทำให้การแสดงหรือการโกหกครั้งต่อไปเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นเท่านั้นเอง

ในขณะที่ After The Storm พูดถึงความล้มเหลวของผู้ชายและการจากลา The Truth พูดถึงผู้หญิงและการกลับมาเผชิญหน้า ทั้งสองครอบครัวไม่ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขอีกต่อไป พวกเขาเพียงเรียนรู้ที่จะยอมรับความไม่สมบูรณ์ และเดินหน้าต่อไปตามทางของตน

Filmsick
Filmvirus . เม่นวรรณกรรม . documentary club

LATEST REVIEWS