The Three Disappearances of Soad Hosni

ประวัติศาสตร์ที่ใกล้สูญหายของดาวค้างฟ้า (Rania Stephan, 2011)

หนังเริ่มต้นด้วยบทสนทนาของหญิงสาวนักแสดงคนหนึ่งกับชายที่อยู่นอกจอ เขาพยายามถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น เธอบอกว่าเธอจำอะไรไม่ได้เลย เขาเร่งเร้า นึกให้ออกสิ เธอมองเห็นอะไร นึกถึงอะไรก็ได้ เธอพยายามนึก เราจึงเริ่มเห็นภาพที่เธอกำลังออกวิ่ง วิ่งออกไปอย่างไร้จุดหมาย มีคนพยายามเรียกชื่อเธอ มากมายหลายนับสิบชื่อต่างวนเข้ามา จนไม่รู้ว่าชื่อไหนคือชื่อที่แท้จริงของเธอกันแน่ ภาพตัดสลับจากหลากหลายเหตุการณ์ บ้างเธอก็ใส่ชุดทะมัดทะแมง บ้างเธอก็แต่งตัวแบบหญิงสาวสวยสะ บ้างก็เป็นภาพขาวดำ บ้างก็เป็นสี ปะปนเหมือนความทรงจำที่ปะติดปะต่อกันอย่างไม่สมบูรณ์ หนังเริ่มขึ้นชื่อนักแสดงนำ Soad Hosni (หรือ Soad Hosny) แท้ที่จริงเธอคือนักแสดงที่รับบทบาทต่างๆ เผชิญเดินทางไปตามหนัง เธอเริ่มจำได้แล้วว่าเธอเป็นใคร และนี่คือจุดเริ่มต้นของหนัง

Soad Hosni นั้นมีตัวตนอยู่จริง ขึ้นชื่อว่าเป็น “ซินเดอเรลล่าแห่งภาพยนตร์อียิปต์” เธอเป็นนักแสดงดาวค้างฟ้าคนสำคัญของภาพยนตร์อียิปต์จากยุค 60-70 ครอบครัวของเธอข้องเกี่ยวกับวงการศิลปะมาโดยตลอด ทั้งคุณพ่อที่ทำอาชีพนักประดิษฐ์อักษร พี่สาวเป็นนักร้อง และพี่ชายเป็นนักแต่งเพลง Soad เริ่มเข้าวงการมายาตั้งแต่อายุ 3 ขวบจากการได้ร้องเพลงในรายการวิทยุสำหรับเด็กชื่อดัง เธอได้แสดงหนังเรื่องแรกเมื่อปี 1959 และหลังจากนั้น ความสวยงาม ความสามารถ และความรักอิสระของเธอก็ครองใจชาวอียิปต์มาโดยตลอด เธอได้รับบทอย่างหลากหลายตั้งแต่หนังคอมเมดี้เบาๆ ที่สร้างความสนุกสนานให้กับผู้ชม ไปจนถึงหนังที่มีประเด็นหนักหน่วงและอาจจะมีนัยยะทางการเมือง ในช่วงชีวิตของ Soad นั้นเล่นหนังทั้งหมด 82 เรื่อง แต่ต้องออกจากวงการเมื่อปี 1991 เนื่องจากอาการบาดเจ็บร้ายแรงของกระดูกสันหลัง จนส่งผลกับการขยับร่างกายของเธอ

หลังจากนั้นไม่มีใครรับรู้ถึงเรื่องราวของเธออีกเลย จนมาถึงปี 2001 Soad ได้ปรากฏในสื่ออีกครั้ง เธอเสียชีวิตจากการตกจากระเบียงอพาร์ตเมนต์ของเพื่อนเธอในลอนดอน สร้างความเสียใจให้กับแฟนๆเป็นอย่างมาก ส่วนสาเหตุการตายนั้นยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ ว่าแท้ที่จริงแล้วเธอฆ่าตัวตาย ฆาตกรรม หรือว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ด้วยจากหลักฐานและปากคำของคนรอบข้างของเธอ สองเหตุผลแรกนั้นดูมีความเป็นไปได้มากกว่า แต่ถึงแม้เธอจะหายไปจากวงการบันเทิงสิบปี ความนิยมของเธอยังไม่จางหายไปตามกาลเวลา เมื่อร่างของเธอถูกนำกลับมาจัดงานศพที่ไคโร และมีผู้มาเข้าร่วมงานศพนับหมื่นคน

หนังถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน แต่ละส่วนต่างเล่าเรื่องราวส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ คล้ายกับจะเป็นหนังอัตชีวประวัติที่เราสามารถพบเห็นได้ตามทั่วไป ที่หานักแสดงชื่อดังใครสักคนที่มีหน้าตาคล้ายกับบุคคลจริงมารับบทเป็นเขาหรือเธอคนนั้น แต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำอย่างนั้น มันคือการร้อยเรื่องราวขึ้นมาใหม่ โดยฟุตเตจจากหนังเรื่องต่างๆ ที่เธอเคยแสดง และตัว Soad ที่รับบทบาทต่างๆ ในหนังแต่ละเรื่อง ถูกร้อยเรียงให้กลายเป็นชีวิตของเธอเอง เธอที่ไม่มีอยู่ในชีวิตจริงกลายเป็นหุ่นเชิดของผู้ทำ ที่ต้องการจะเล่าเรื่องราวของเธออีกที หนังเรื่องนี้กำลังพยายามจะทับทาบเส้นชีวิตของเธอ แม้ไม่แนบเนียนนัก แต่การประกอบเรื่องราวของดาราคนหนึ่งที่จากไปแล้ว และไม่มีวัตถุดิบใดหลงเหลือนอกจากหนังที่ถอดมาจากม้วนเทป VHS นี่อาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องทำการยกย่องเธอมากเกินไปเหมือหนังอัตชีวประวัติอื่น

ส่วนแรกเหมือนเป็นหนังโรแมนติกธรรมดาที่เราคุ้นชิน หญิงสาวคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันเรื่องความรัก มีความรักแบบสวยงาม ครองรักกันด้วยความหอมหวาน ได้เต้นรำไปกับคนรัก หยอกเย้าไปกับเสียงเพลง (มีฉากเต้นหนึ่งที่ทำให้นึกถึง Bande a Part ของ Jean Luc Godard) ภาพลักษณ์ของเธอถูกทำให้กลายเป็นสาวสวยงาม น่ารัก นิสัยดี เป็นที่หมายปองของพระเอกในเรื่อง เพราะเธอเป็นนางเอกที่มีหน้าที่ทำให้พระเอกมีความสุข ส่วนนี้จบลงด้วยการที่เธอได้เข้าสู่วงการมายา ได้เป็นดาราอย่างที่เธอฝันไว้ แต่สิ่งที่บอกเล่าในหนังนั้น เราไม่แน่ใจว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องการจะเป็นจริงๆ หรือเป็นสิ่งที่ตัว Soad ในหนังถูกเขียนไว้ว่าให้เป็น จังหวะนั้นเราเริ่มรู้สึกว่าหรือนี่คือความหมายของนักแสดง มีหน้าที่รับบทบาทนั้นๆให้แนบเนียนมากกว่าการได้เป็นตัวของตัวเอง เหมือนกับที่คนทั่วไปไม่ค่อยรับรู้ชีวิตจริงของเธอ แต่มีภาพจำของเธอที่สร้างความสุขให้กับผู้ชมภาพยนตร์มากกว่า

ส่วนที่สองของหนัง เธอเปลี่ยนบทบาทของตัวเอง ภาพเริ่มเผยให้เห็นว่าบทบาทของเธอกลายเป็นหญิงสาวผู้แสวงหาความรัก เธอออกไปดื่มกินเต้นรำในยามค่ำคืนตามไนท์คลับต่างๆ เพื่อตามหาใครสักคนที่จะมาอยู่คู่กับรักของเธอ เธอถูกเปลี่ยนให้เป็นความงดงามที่ดุจเทพนิยาย เป็นต้นแบบของความงาม ผู้ชายหลายคนต่างต้องการครอบครองเธอในฐานะของผลงานศิลปะ เขาต่างวาดรูปเธอ หรือปั้นเธอจากดินเหนียว แต่เธออาจจะถูกแช่แข็งให้กลายเป็นเพียงแค่นั้น ความงามที่ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงในอุดมคติของทุกคน เธอมีทั้งความงามและความสามารถ ทั้งเล่นกีฬาเก่ง ทั้งชาญฉลาด สามารถพูดคุยเรื่องยากๆ กับผู้ชายได้อย่างทัดเทียม สิ่งเหล่านั้นทำให้เธอกลายเป็นแค่ผู้หญิงที่เหมาะสมกับผู้ชายหรือพระเอกภายในเรื่องเพียงแค่เท่านั้น

ส่วนสุดท้าย เปลี่ยนบทบาทของตัวเธออีกครั้ง เหมือนที่เธอได้หายลับจากขอบฟ้า แล้วกลับมาในตัวตนใหม่ เธอถูกเปลี่ยนให้เป็นวัตถุแห่งการถูกกระทำจากผู้ชาย เธอทั้งถูกตบตี กักขังหน่วงเหนี่ยว ถูกข่มขืน กลายเป็น sex object ผู้ทำหนังต่างใช้เรือนร่างของเธออย่างคุ้มค่า ถึงแม้จะเป็นยุคที่เธอได้รับบทที่ซีเรียสขึ้น ไม่ได้เป็นแค่สาวสะพรั่งโชว์ความสวยความงาม แต่ต้องแลกกับการเอาเรือนร่างเข้าแลกในรูปแบบใหม่ ตกอยู่ภายใต้หนังที่มีแต่ความมาโชที่ล้วนโชว์ความทะเยอทะยานของผู้ชาย ฟุตเทจส่วนใหญ่จะเป็นหนังที่เกิดขึ้นในยุค 70 เราล้วนเห็นการกระทำเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่เรื่อยๆ เป็นวังวนที่ตีตรา Soad ซึ่งกลายเป็นตัวแทนของผู้หญิงว่าชีวิตของพวกเธอจะไม่ได้ไปไกลมากกว่านี้ ความต้องการของเธอจะถูกกักเก็บไว้ภายในตัวเธอเท่านั้น ได้แต่คอยตอบสนองความต้องการของตัวเอก แต่สิ่งเหล่านั้นก็พอเห็นกันได้ในสองส่วนนั้นอยู่แล้ว ภาพในหนังต่างยั่วล้อไปกับชีวิตจริงของเธอ Soad ที่แต่งงานมาแล้วทั้งหมด 4 ครั้ง และเธอไม่เคยมีบุตรกับใครสักคน

ทั้งสามส่วนของหนังจบด้วยการที่ลบตัวตนของเธอจากพาร์ตที่แล้วหายไป และประกอบสร้างขึ้นมาใหม่ กลายเป็นผู้หญิงแบบไหนก็ได้ตามที่ผู้สร้างต้องการ ซึ่งตอบสนองต่อความต้องการของผู้คนสมัยนั้น ผู้กำกับหนังเรื่องนี้จึงต้องการแก้ความถูกต้องของเธอที่เปรียบเสมือนเป็นแบบอย่างของผู้หญิงอียิปต์ในยุคนั้นขึ้นเสียใหม่ และตีแผ่บทบาทของผู้หญิงในสมัยนั้นที่ถูกกระทำและถูกกดบทบาททั้งทางตรงและทางอ้อมขนาดไหน

สิ่งที่น่าสนใจคือถึงแม้การทำหนังเรื่องนี้จะทำให้เรารู้จักผลงานของ Soad และชีวิตของเธอมากขึ้น แต่ภาพและบทสนทนาภายในเรื่องนั้นมาจากหนังที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พอมันกลับมาใส่ในเรื่องนี้ บทสนทนาที่เคยเป็นของหนังเรื่องอื่นทำให้มันกลายเป็นนอกเรื่องไป ซึ่งจะชวนให้เราสะดุดอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความที่มันกลายเป็นหนังอัตชีวประวัติแบบไม่สมบูรณ์ กลายเป็นการผลักตัวเราออกจากการรับรู้ ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ประวัติของ Soad ทั้งหมด แต่เป็นการหยิบชิ้นส่วนต่างๆ จากหนังที่เธอเล่น มาประกอบให้กลายเป็นประวัติของเธอ

สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือตัวภาพของหนังเรื่องนี้ถูกอัดมาจากม้วนเทป VHS ทั้งหมด ทำให้เราเห็นบาดแผลของไฟล์ ภาพที่เราเห็นมักจะมีเหมือนแม่เหล็กในเทปถูกทำลาย ข้อมูลหายไป ภาพสั่น อยู่บ่อยครั้ง ตามประสาเทปที่ถูกเก็บไว้นานและไม่ได้รับการรักษา เป็นประวัติศาสตร์ที่ไร้การบันทึกไว้เป็นอย่างดี เหมือนเป็นวัสดุที่ใกล้จะพังและข้อมูลที่พร้อมจะสูญหายได้ตลอดเวลา ซึ่ง Soad เองเป็นผลผลิตที่ตกค้างของยุคเทปอนาล็อก ผลงานของเธอยังไม่ได้ถูกบูรณะใหม่ให้มีขนาดภาพและเสียงที่คมชัด เธอจะกลายเป็นภาพแตก สีซีด มีรอยขีดข่วน สุดท้ายถ้าข้อมูลหนังภายในเทปนั้นสูญหาย เธออาจจะหายไปจนไม่มีหลักฐานให้พูดถึงในคนรุ่นหลัง เหมือนที่หนังบางเรื่องเราเคยได้ยินจากคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ แต่เราไม่สามารถดูได้เพราะฟิล์มนั้นเสียหายจนไม่สามารถดูได้อีกต่อไป

นี่คือผลงานหนังขนาดยาวเรื่องแรก และเป็นผลงานที่สร้างชื่อที่สุดของ Rania Stephan นักทำหนังและวิดีโออาร์ตติสท์ชาวเลบานอน ที่สนใจงานของ Soad ในตอนที่เป็นนักศึกษาภาพยนตร์ เธอบอกว่า Soad ไม่มีสิ่งที่บันทึกประวัติของเธออย่างเป็นทางการ มีเพียงแค่ข่าวกอสซิปจากแม็กกาซีนที่หากินกับดาราดัง เมื่อเธอตายไปแล้ว เธอจึงออกมาเล่าเรื่องราวของตัวเองไม่ได้ เหมือนชีวิตของ Soad ได้อุทิศให้กับภาพยนตร์ไปแล้ว จนไม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง ความรักที่มีต่อ Soad และการอยากทำความรู้จักชีวิตของเธอมากกว่านั้น ทำให้ Rania ทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งเธอให้สัมภาษณ์ว่าที่อียิปต์นั้นไม่มีสถานที่หรือหน่วยงานที่จัดเก็บภาพยนตร์ ถึงแม้ว่าวงการภาพยนตร์อียิปต์เองจะยิ่งใหญ่และเติบโตขนาดไหนก็ตาม และเธอกังวลอยู่เช่นกันถ้ายังไม่มีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น ประวัติศาสตร์สำคัญที่ภาพยนตร์สามารถบันทึกได้ เราอาจไม่ได้พบเจอมันอีก และสุดท้ายมันอาจสูญสลายหายไปอย่างน่าเศร้า

หน้าที่สำคัญของหนังอีกหนึ่งอย่างคือการบันทึกเรื่องราวของผู้คนที่มีชีวิตจริง ลงไปในแผ่นฟิล์ม สร้างเรื่องราวและประวัติศาสตร์ที่ผู้ทำไม่อยากให้หายไป หรือมีการถ่ายทอดว่าทำไมเรื่องของเขาหรือเธอควรจะมีผู้คนรับรู้ บ้างจะเป็นคนที่มีความเชื่อมโยงกับผู้ทำ จนต้องทำภาพยนตร์ออกมาเป็นเครื่องสดุดีชีวิต บ้างก็เป็นคนที่เคยได้ยินแค่ชื่อเสียงเรียงนาม การทำหนังก็คือการได้ทำความรู้จักทุกด้านของบุคคลที่เป็นซับเจ็คต์นั้นๆ สำหรับ Soad เธอเป็นดาวค้างฟ้าที่ลึกลับ ไม่มีวัสดุใดที่บันทึกชีวิตส่วนตัวของเธอ และไม่มีอะไรที่แก้ต่างให้กับชีวิตที่แท้จริง นอกจากบทตัวละครในหนังที่ทาบผ่านพอดีกับชีวิตจริง ผู้คนอาจจดจำในเธอในแบบนั้น แต่การทำหนังเรื่องนี้อาจเป็นการแก้ต่างกับภาพลักษณ์ที่เธอเป็นในหนัง ภาพจำที่คนดูอาจจะจำเธอเหมือนในส่วนที่สาม เธออาจถูกจดจำในฐานะผู้ถูกกระทำ พ่ายแพ้ต่ออำนาจความเป็นชาย แต่แท้ที่จริงแล้วมันคือเครื่องมือที่เรียกว่าภาพยนตร์ ที่สามารถสร้างความคิดเหล่านั้นให้กับผู้ชมได้ เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้อาจะเป็นได้ทั้งการเชิดชูความยิ่งใหญ่ของเธอ และการแก้ต่างให้เธอกลายเป็นบุคคลธรรมดาเหมือนกับทุกคนมากขึ้น


รับชมหนังได้ที่ Arsenal

LATEST REVIEWS