Ride or Die : คนนอกคอกของสถาบันครอบครัว

(2021, Ryuichi Hiroki)

ในท่ามกลางกระแสหนัง LGBTQ+ ในช่วงนี้ หนังเรื่องหนึ่งที่น่าจับตาอย่างมากคือ Ride or Die ซึ่งดัดแปลงจากมังงะแบบ 3 เล่มจบ กับธีมความรักของหญิงสาวอันไร้ทิศทาง รุนแรง ทรงพลัง และทำให้คนตาย ด้วยฝีมือการแสดงระดับเทพของกิโกะ มิซุฮาระ นักแสดง นางแบบ แฟชันไอคอน และอินฟลูเอนเซอร์สาวชาวญี่ปุ่น และโฮนามิ ซาโตะ นักแสดงมากฝีมือ กำกับโดยริวอิจิ ฮิโรกิ ที่เคยฝากผลงานไว้กับเรื่อง Strobe Edge (2015)

Ride or Die เป็นเรื่องราวของเรย์ แพทย์หญิงที่ดูชีวิตจะเพียบพร้อมทุกอย่าง ติดแค่ที่เธอเป็นเลสเบี้ยนที่ทางบ้านไม่ยอมรับ วันหนึ่งเธอได้รับสายจากนานาเอะ เพื่อนที่เธอหลงรักในวัยมัธยมปลาย ขอให้ไปพบ เธอจึงได้รู้ว่านานาเอะถูกสามีทุบตีอย่างรุนแรง และนานาเอะก็ถามแบบทีเล่นทีจริงว่าเธอจะฆ่าเขาให้ได้หรือไม่ เรย์ลงมือฆ่าสามีของนานาเอะ และทั้งสองก็ขับรถหนีไปด้วยกันยังซอกมุมห่างไกลของญี่ปุ่น ทั้งเพื่อหนีความจริงว่าจะต้องถูกพบตัวในวันใดวันหนึ่ง และความจริงที่ว่าทั้งสองต่างไม่เคย “เป็นคนของ (belong)” ที่ไหนเลย การอยู่ด้วยกันสองคนในสถานการณ์ที่ทุกอย่างตึงเครียดขึ้นทุกขณะทำให้ทั้งสองได้เห็นธาตุแท้ของกันและกัน ได้ทั้งทะเลาะกัน ร่วมรักกัน ไว้ใจกัน และผละจากกัน

“ลายเซ็นของฮิโรกิคือการถ่ายทอดเรื่องราวของผู้หญิงผู้เจ็บช้ำ แปลกแยกกับคนรอบข้าง สังคม และโลกทั้งใบ ซึ่งธีมที่ว่ายังปรากฏใน Ride or Die (2021) ผลงานล่าสุดของเขา” – คันฉัตร รังสีกาญจน์ส่อง1https://adaymagazine.com/ride-or-die/

ด้วยสถานภาพของการเป็นเลสเบี้ยน เรย์ไม่เคยรู้สึกว่าเธอมีครอบครัวจริงๆ เพราะคนในครอบครัวไม่เคยมารู้สุขทุกข์ของเธอในแง่มุมที่ลึกซึ้ง พวกเขาไม่เคยรู้ว่าเธอรักใคร และไม่เคยอนุญาตให้เธอรักคนที่เธออยากจะรัก เรย์ถึงกับขอให้เพื่อนผู้ชายแกล้งเป็นแฟนของเธอ แม่ของเธอจึงบอกว่าดีใจที่เธอเลิกชอบเพศเดียวกันเสียที การปกปิดและซ่อนตัวเองจากครอบครัวของเรย์ส่งผลให้เธอมีระยะห่างทางความรู้สึก (emotional distance) กับคนรอบตัวที่เธอมีปฏิสัมพันธ์ด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นพี่ชาย หรือแม้กระทั่งแฟนสาวที่เธอคบมานานหลายปี มีเพียงนานาเอะคนเดียวที่เธอมีความรู้สึกผูกพันทางอารมณ์มากเป็นพิเศษ ถึงขั้นยอมฆ่าคนเพื่อนานาเอะ อาจเป็นเพราะในขวบวัยที่เธอเริ่มตกหลุมรักนานาเอะนั้น กำแพงของเธอยังไม่ได้ประสานกันดีก็เป็นได้

รอยยิ้มเพียงครั้งเดียวของนานาเอะอาจทำลายชีวิตทั้งชีวิตของเรย์ไปเลยก็จริง และทำให้เรย์โหยหาที่จะอยู่เคียงข้างนานาเอะเสมอ แต่คนที่มีกำแพงไม่ใช่แค่เรย์คนเดียว นานาเอะเองก็มีชีวิตวัยเด็กที่เต็มไปด้วยมรสุม เมื่อแม่ทิ้งเธอไป และพ่อหันมาซ้อมเธอเหมือนกับว่าเธอเป็นตัวแทนของแม่ เธอมีฐานะยากจนจนถึงขั้นต้องขโมยรองเท้าวิ่งจากร้านขายของ ถ้าไม่ได้เรย์มาช่วยไว้เธอก็คงโดนจับ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ฝันของเธอที่จะได้ทุนเรียนต่อในโควต้านักกีฬาพังทลายลง นานาเอะคิดจะขายตัวให้กับผู้ชาย ส่วนเรย์พยายามจะรั้งเธอไว้ด้วยการขอซื้อตัวเธอด้วยเงิน แต่กลับถูกนานาเอะปฏิเสธด้วยประโยคอันเจ็บปวด “ฉันคงจะไปอยู่ในที่ที่เธอไม่ได้อยู่ล่ะมั้ง” และนั่นก็คือกำแพงของนานาเอะ ความรู้สึกที่เธอมีต่อเรย์ซับซ้อนเกินกว่าจะเรียกว่ารักหรือเกลียดแบบใดแบบหนึ่ง แต่ที่แน่ๆ เธอไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเท่าเทียมกับเรย์ และรู้สึกว่าตัวเองถูกสมเพชอยู่เสมอ นั่นเป็นความรู้สึกที่ทำให้เธออยากหนีไปจากเรย์ให้ไกล

ไม่มีใครรู้ได้ว่าทำไมนานาเอะถึงติดต่อเรย์กลับมาอีกหลังจากเธอถูกสามีซ้อม สิ่งหนึ่งที่เป็นไปได้ก็คือ เธอตั้งใจที่จะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว (นั่นทำให้ความหมายของการ “ไปในที่ที่เธอไม่ได้อยู่” เด่นชัดขึ้นหรือไม่?) และเธอก็อยากจะเจอเรย์เป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้นเอง สำหรับตัวเรย์ เห็นได้ชัดว่าเธอเจ็บปวดจากการถูกปฏิบัติราวกับตนเองเป็นสิ่งน่าขยะแขยง แต่เธอก็ยังคงรักนานาเอะ ความรู้สึกตอนเป็นวัยรุ่นย้อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นความรู้สึกแบบไหนกันที่ทำให้คนเราฆ่าคนเพื่อคนที่เรารักได้?

สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดเกี่ยวกับเรย์ก็คือ เธอรู้สึกราวกับว่าเธอไม่มีครอบครัวเลย ฉากที่เธอเจอพี่ชาย และเขาบอกให้เธอไปมอบตัวเสีย ดูเป็นฉากที่เธอพูดความคิดและความรู้สึกของตัวเองน้อยมาก ราวกับครอบครัวในทางชีววิทยาลากเธอกลับลงไปยังร่องน้ำเดิมที่เธอหนีจากมา – ครอบครัวนี้บังคับให้เธอเป็นในสิ่งที่เธอไม่เคยเป็นเสมอ และเธอก็ชินกับการยอมทำตามครอบครัวแบบนี้ เป็นคำพูดของนานาเอะที่ทำให้เธอฉุกคิดได้ว่าเธอต้องการจะทำอะไร เพราะนานาเอะชี้ให้เห็นว่า เพียงแค่เธอได้พบกับครอบครัวของตัวเอง เธอก็กลายเป็นคนว่าง่าย ทั้งที่ผ่านมาเธอถึงกับลงมือฆ่าคนแล้วหนีมาเอง

คำพูดของพี่ชายเรย์สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของการจำกัดให้ผู้หญิง “เข้ารูปเข้ารอย” ผ่านสถาบันครอบครัวได้ดี เขาไล่ให้นานาเอะไปหาผู้ชายดีๆ แต่งงานด้วย แล้วมีลูกเสีย และหลังจากนั้นเธอจะได้พบกับความสุข เรย์บอกให้พี่ชายของเธอหุบปาก แต่นานาเอะรู้ถึงฝันร้ายนี้ดีกว่าใคร ดีเสียจนกระทั่งเธอรู้ว่าป่วยการที่จะโต้ตอบกับค่านิยมแบบนี้ เธอจึงทำได้เพียงก้มขอบคุณเขา ทั้งนานาเอะและเรย์ต่างนิ่งอึ้งไปกับความคิดเกี่ยวกับครัวของพี่ชายเรย์ แต่คนที่โต้ตอบความคิดนี้กลับกลายเป็นพี่สะใภ้ของเรย์ เธอบอกว่ามีสิ่งอื่นที่มีค่ายิ่งกว่าการมีชีวิต และหลายครั้ง ผู้หญิงสามารถทำสิ่งที่ไม่คาดฝันที่จะทำให้ชีวิตของเราจมดิ่งลงได้มากกว่าที่คิดเพื่อคนที่เรารัก ในแง่หนึ่ง นี่เป็นการสวนกลับคติชายเป็นใหญ่ที่ต้องการจะกดให้ผู้หญิงอยู่ในกรอบของการว่านอนสอนง่าย ต้องเป็นเมียและแม่ที่ดีเท่านั้น ซึ่งผู้หญิงเป็นอะไรที่มากกว่านั้นมาก ผู้หญิงอาจยอมเป็นฆาตกร และยอมทำลายชีวิตตนเองด้วยเป้าหมายที่เธอเห็นว่าสำคัญ ผู้หญิงไม่ได้เป็นแค่คนรับคำสั่ง แต่เธอมีอัตตาณัติที่จะบงการตัวเองและทำให้คนอื่นกลัวเกรงด้วยพายุของอารมณ์และความเสน่หาได้

ในแง่หนึ่ง นี่เป็นการสวนกลับคติชายเป็นใหญ่ที่ต้องการจะกดให้ผู้หญิงอยู่ในกรอบของการว่านอนสอนง่าย ต้องเป็นเมียและแม่ที่ดีเท่านั้น ซึ่งผู้หญิงเป็นอะไรที่มากกว่านั้นมาก

ทั้งเรย์และนานาเอะล้วนเป็นคนนอกของสถาบันครอบครัว เรย์เป็นเช่นนั้นเพราะเธอเป็นเลสเบี้ยนที่ทางบ้านไม่ยอมรับ ส่วนนานาเอะเห็นแล้วว่าสถาบันครอบครัวไม่ได้หมายถึงความสุข แต่อาจหมายถึงบาดแผล ความฝืนทน และความเจ็บปวด หรือเป็นคุกดีๆ นี่เอง ผู้หญิงทั้งสองที่แหกคอกออกมาได้มาพบกันในช่วงเวลาที่สังคมกีดกันพวกเธอไปอีกระดับจากสถานภาพฆาตกร นั่นทำให้พวกเธอได้เรียนรู้ที่จะวางมือไว้บนมือของอีกฝ่าย และเผยความรู้สึกที่ถูกเก็บไว้มานาน พวกเธอไม่ใช่ทั้งเพื่อน ทั้งคนรัก แต่อาจเป็นครอบครัวให้กันได้ในยามที่ทุกฝ่ายหันหลังให้พวกเธอ

หากจะกล่าวภาพรวมว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร อาจกล่าวได้ว่า มันเป็นเรื่องของการหนีจากครอบครัวเพื่อสร้างอีกครอบครัวขึ้นมาด้วยตนเอง จะว่าไป เราทุกคนก็อาจเคยพบเหตุการณ์เช่นนี้ คนที่เรานับเป็นครอบครัวอาจไม่ใช่เพียงแค่ครอบครัวทางชีววิทยาเพียงเท่านั้น แต่เป็นคนที่เรารู้สึกไว้ใจ วางใจ รู้สึกว่าเราสามารถเปิดเผยความลับกับใครคนนั้นได้ อันที่จริง มนุษย์ก็สร้างครอบครัวใหม่ของตนเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สิ่งที่ทั้งเรย์และนานาเอะเผชิญจึงไม่ได้เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก และการที่พวกเธอเป็นคนนอกของสถาบันครอบครัวตามขนบ กลับทำให้พวกเธอมีสิ่งที่ผูกพันกันไว้มากกว่าเรื่องความรักความใคร่ พูดอีกแง่ มันคือเรื่องราวของคนที่ชีวิตถูกทำลายสองคนที่โคจรมาพบกัน โดยรู้ซึ้งดีถึงความเจ็บปวดและบาดแผลที่รักษาไม่หายจากเหตุการณ์เหล่านั้นนั่นเอง


ดู Ride or Die ได้ที่ Netflix

นภัทร มะลิกุล
จบการศึกษาจากเอกปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ปัจจุบันเป็นนักวิจารณ์หนังและหนังสือให้กับสื่อออนไลน์ และยังเป็น co-founder ของบล็อกคุยเรื่องหนัง afterthescene.com เธอชอบเรียนรู้เรื่องมนุษย์ผ่านสื่อและศิลปะ และมีเป้าหมายอยากเป็นนักเรียนรู้ตลอดชีวิต

LATEST REVIEWS