Circus of Books

(2019, Rachel Mason)

เธอได้มาเรียนรู้ทีหลังว่าตอนเด็กเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพ่อแม่เลย นอกจากเรื่องว่าแม่เป็นคนเข้มงวด เคร่งศาสนา และเป็นผู้นำของบ้านที่มีลูกบ้านเป็นพ่อ ผู้ชายที่ร่าเริงที่สุดในบ้าน ลุงหัวล้านใจดีที่ทุกคนรัก กับพี่ชายและน้องชายที่รักกันดีไม่มีตีกัน แม่พาเธอไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ขณะที่พ่อยักไหล่ใส่ศาสนา เวลาเพื่อนๆถามว่าพ่อแม่เธอทำอะไรเธอตอบว่า อ๋อที่บ้านเปิดร้านหนังสือ

เวลาไปที่ร้านแม่จะบอกให้เธอห้ามมองตรงนั้นตรงนี้ เดินก้มหน้ารีบมารีบไป เธอไม่รู้อะไรเลยในตอนนั้น จนเมื่อบรรดาเพื่อชาวเกย์สายอาร์ตของเธอถามว่า ร้านที่ว่าชื่ออะไร? และเธอตอบว่า Circus of Books น่ะ แล้วทุกคนก็ร้องกรี๊ด เธอเป็นลูกสาวเจ้าของร้าน Circus of Books เหรอ!

เพราะว่าร้าน Circus of Books คือร้านหนังสือโป๊เกย์ที่อยู้ยั้งยืนยงมาหลายสิบปี ว่ากันว่านี่คือพื้นที่แห่งการหล่อเลี้ยงวัฒนธรรมเกย์ในฝั่ง L.A. มันคือที่ปลอดภัยสำหรับเกย์ที่จะได้เรียนรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่บนโลกตัวคนเดียว ร้านหนังสือขนาดใหญ่ที่มีเซคชั่นเกย์ชัดเจน มีวรรณกรรมและนิตยสารเกย์ทั้งเมนสตรีมและทำมือ มีห้องสำหรับขายหนังโป๊เกย์ ทั้งหมดนี้บริหารงานโดยสองผัวเมียที่เป็นเสตรท เป็นคนยิวธรรมดาท่าทางใจดีไม่มีพิษสงใดๆคู่หนึ่ง

และนี่คือสารคดีว่าด้วยผัวเมียคู่นี้ ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่จะเลิกกิจการ พิเศษกว่าใครเพื่อนเพราะไม่ได้ทำโดยคนอื่น แต่ทำโดยลูกสาวของพวกเขาเอง มันจึงเป็นทั้งสารคดีที่บันทึกประวัติศาสตร์ปรากฏการณ์ทางสังคม พร้อมๆ กันกับการเป็นสารคดีส่วนบุคคลว่าด้วยเรื่องภายในครอบครัวไปด้วย

แกนหลักของหนังคือการสัมภาษณ์พ่อกับแม่ ตั้งแต่พบกันอย่างไร แต่งงานกันได้อย่างไรและมาเปิดร้านนี้ได้อย่างไร พอย้อนกลับไปมองมันก็ช่างเป็นชีวิตแสนสามัญ แม่เธอเคยเป็นนักข่าวอาชญากรรมในหนังสือพิมพ์ พ่อทำเอฟเฟคต์ในหนังฮอลลีวูด เจอกันในงานปาร์ตี้คนยิว พ่อของเธอป่วยเป็นโรคไต พ่อเลยใช้ความสามารถเชิงช่างคิดเครื่องมือที่ใช้เตือนอันตรายจากการฟอกเลือด โด่งดังจนมีบริษัทไปซื้อลิขสิทธิ์ เงินก้อนนั้นเองถูกนำมาซื้อตึกที่กลายเป็นร้าน Circus of Books ในเวลาต่อมา

จากชีวิตคู่เรียบๆและกิจการง่ายๆ ที่กะว่าจะทำคั่นเวลาเพียงแป๊บเดียว ด้วยความคิดแบบตรงไปตรงมาของผัวเมียคู่หนึ่งที่เชื่อมั่นว่าพวกเขาแค่ทำธุรกิจ สามัญดาษดื่นตรงไปตรงมาเท่ากับธุรกิจอื่นๆ ในประเทศนี้ พวกเขากลายเป็นผู้จัดจำหน่ายหนังสือโป๊อย่าง Hustler เป็นคนที่แม้แต่ Larry Flint ยังนับถือ พวกเขาขายหนังโป๊ ถึงขั้นลงทุนทำหนังโป๊ชายชายสำหรับขาย เพราะสำหรับพวกเขามันคือธุรกิจ โดยไม่รู้ตัวพวกเขาได้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์รักร่วมเพศในอเมริกาตั้งแต่ยุคเป็นเกย์คือเป็นบาป ตกงานและมีชีวิตพัพิงนาศ จนถึงยุคฟรีเซ็กซ์ ข้ามผ่านยุคที่คนที่พวกเขารู้จักตายเป็นใบไม้ร่วงจากโรคเอดส์ ข้ามพ้นจนยุคสมัยที่การเป็นเกย์เป็นที่ยอมรับ และทุกคนหาคู่หรือดูหนังโป๊ได้จากที่บ้าน ถึงที่สุดกิจการของพวกเขาก็เป็นสิ่งตกสมัยและถึงเวลาต้องบอกลา

ไม่เพียงแค่นั้น ดูเหมือนการมีอยู่ของพวกเขาในฐานะ ‘กิจการร้านหนังสือ’ กลับสำคัญเกินกว่าตัวมันเอง เพราะในการพัฒนาการของสังคมไมไ่ด้ต้องการเพียงนักสู้ที่ออกไปผลักดันประเด็นใดประเด็นหนึ่งเพื่อการเปลี่ยนแปลงเพียงเท่านั้น เราต้องการพูดได้อย่างเสรี มากพอๆ กับมวลอากาศ บรรยากาศพื้นฐานที่ทำให้การได้พูดนั้นพูดออกมาได้ และนี่คือสิ่งที่คนซึ่งไม่ใช่นักสู้อะไรมากไปกว่าคนขายหนังสือได้มอบไว้ให้

ไม่เพียงแค่นั้น ดูเหมือนการมีอยู่ของพวกเขาในฐานะ ‘กิจการร้านหนังสือ’ กลับสำคัญเกินกว่าตัวมันเอง เพราะในการพัฒนาการของสังคมไมไ่ด้ต้องการเพียงนักสู้ที่ออกไปผลักดันประเด็นใดประเด็นหนึ่งเพื่อการเปลี่ยนแปลงเพียงเท่านั้น เราต้องการพูดได้อย่างเสรี มากพอๆ กับมวลอากาศ บรรยากาศพื้นฐานที่ทำให้การได้พูดนั้นพูดออกมาได้ และนี่คือสิ่งที่คนซึ่งไม่ใช่นักสู้อะไรมากไปกว่าคนขายหนังสือได้มอบไว้ให้

เรื่องสำคัญที่หนังพูดถึงคือการที่ร้านโดนฟ้องเรื่องการขายสื่อลามกอนาจารข้ามรัฐในยุคเรแกน ในยุคที่ผู้คนคลั่งศีลธรรมเรืองอำนาจ ร้านถูกจับโดย DBIและถูกฟ้อง ทนายฝ่ายจำเลยที่เข้าข้งลูกความมากๆ ไม่ยินยอมให้ลูกความของเขายอมรับว่าตัวเองเป็นอาชญากรเพราะเขาไม่ได้เป็น การยืนยันตัวเอง (แม้ลับหลังแม่กับพ่อจะตกลงแล้วว่าถ้าถึงที่สุดแม่จะให้พ่อติดตะรางเพราะแม่สามารถจัดการกับร้านและลูกได้ดีกว่า) กลายเป็นสิ่งสำคัญกว่าการยอมพ่ายแพ้ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าแค่ปิดร้านเรื่องก็จบ แต่ทนายบอกว่าห้ามปิด เพราะมันคือการยอมรับ เมื่อยอมรับก็เท่ากับพ่ายแพ้ปล่อยให้สิทธิถูกริบคืนภายใต้กฎหมายแบบอนุรักษษ์นิยม การต่อสู้ยืดยาวไปจนถึงการเปลี่ยนแระธานาธิบดีจากเรแกนไปยังบิลล์ คลินตัน สังคมเปลี่ยนความคิดที่มีต่อสื่อลามก บรรยากาศค่อยๆเปิดกว้างขึ้น ถึงที่สุดนิติบุคคลรับผิดแทนบุคคล และกลายเป็นว่าเสรีภาพในการพูดได้รับการคุ้มครอง จากการทดสอบขีดจำกัดโดยสื่อที่สุดโต่งที่สุดอย่างหนังสือโป๊ เสรีภาพในการพูดไม่ได้มาได้โดยง่ายมันได้มาโดยการต่อสู้ แต่ไม่ใช่จากการต่อสู้ตรงไปตรงมาแต่เพียงอย่างเดียวมันต้องการอากาศสำหรับการหายใจ ต้องการคนอื่นๆร่วมกันยืนยันจากจุดยืนของตนว่าพูดสิ เรื่องนี้พูดได้ การสร้างบรรทัดฐาน การสร้างบรรยากาศคือสิ่งที่คนธรรมดาคู่นี้ทำ

สำหรับพวกเขาซึ่งไม่ได้เป็นแอคติวิสท์ ไม่ได้เป็นเกย์ ไม่ได้เป็นแม้แต่นักสู้ สิ่งสำคัญที่สำคัญจริงๆคือการที่พวกเขาแค่เพียงประกอบธุุรกิจอย่างตรงไปตรงมา ‘มอบความเมตตาอย่างเป็นกันเอง’ให้กับคนอื่นๆอย่างเสมอภาคไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนผิวสี เป็นเกย์ หรือเป็นใครก็ตาม ทุกคนมาซื้อขายในฐานะปัจเจกชนอย่างเท่าเทียมและการเคารพในจุดนี้สำคัญกว่าการเป็นคนดีไม่ดูหนังโป๊และเอาแค่สอดส่องด้วยการโยนบรรทัดฐานของตนเองไปครอบงำคนอื่นมากมายนัก

แต่หนังน่าสนใจกว่านั้นเมื่อเรื่องเดียวกันเปลี่ยนระนาบจากเรื่องทางสังคมมาสู่เรื่องในครอบครัว ลูกชายคนเล็กของเขาเปิดเผยกับครอบครัวว่าเป็นเกย์ แม่ผู้เป็นเจ้าของร้านในตำนานของชาวเกย์ค้นพบว่า ในฐานะคนเคร่งศาสนาเธอรับเรื่องนี้ได้ยากยิ่ง สำหรับเธอลูกค้าเกย์ ลูกจ้างเกย์เป็นเพียงลูกจ้างและลูกค้า พรมแดนของรักร่วมเพศเป็นสิ่งที่เธอยอมรับได้หากมันถูกขีดเส้นไว้ในฐานการทำธุรกิจ แต่เมื่อความเป็นเกย์ก้่าวเข้ามาสู่พื้นที่ส่วนตัวในครัวเรือนมันเป็นคนละเรื่องกัน นำมาซึ่งประโยคที่เจ็บปวดมากในหนังคือแม่เผลอพูดออกมาว่านี่อาจจะเป็นการลงโทษของพระเจ้าก็ได้ การปฏิบัติต่อคนกลุ่มน้อยที่ถูกกดขี่ในฐานะธุรกิจเป็นหลักการที่ช่วยยืนยันหลักการของสังคม แต่ในระดับปัจเจกบุคคลมันกลับส่งผลในทางตรงกันข้าม อย่างไรก็ตาม พ่อผู้ไม่เคร่งครัด กลับไม่ได้มีปัญหาใดๆทั้งสิ้นกับการที่ลูกชายจะชอบเพศเดียวกัน ถึงที่สุดไม่ใช่สังคม แต่เป็นศาสนาที่หยั่งรากลึกลงในอคติของผู้คน ไม่ว่าคุณจะเสรีในพื้นที่สาธรณะอย่างไรมันก็ไม่อาจใช้ได้ในพื้นที่ส่วนตัว

ความย้อนแย้งนี้งดงามและรวดร้าว ตัวผู้กำกับก็เปิดเผยตัวตนอย่างรุนแรง เธอร้องให้เมื่อสัมภาษณ์น้องชายตัวเอง ระลึกว่าตลอดเวลาที่่ผ่านมาเธอปล่อยน้องชายของตนไว้ในความโดดเดี่ยวขนาดไหนฉากหนึ่งเธอถามเขาว่าทำไมเธอไม่มาหาพี่มาร่วมกับความเควียร์ของพี่และน้องชายตอบได้อย่างน่าสนใจว่าเพราะพี่เกย์มากเกินไป การต่อสู้ของพี่การขบถของพี่ความเสรีทางเพศผมสีและความเป็นศิลปินเปิดเผย ไม่ใช่ทางเลือกของเกย์ทุกคน ที่มีความเชื่อความคิดความกังวลแตกต่างกัน ถึงที่สุดไม่มีใครช่วยใครได้เช่นเดียวกันไม่มีใครมีสิทธิ์มาตัดสินคนอื่นว่าพวกเขาเป็นหรือไม่เป็นเกย์ หรือแม้แต่เป็นเกย์มากพอหรือยัง

หนังจบลงอย่างหมดจดกับการปิดกิจการซึ่งเป็นไปตามกาลเวลามากกว่าการถูกสังคมบังคับ หนังฉายภาพความพยายามของแม่ในวัยชราที่จะเรียนรู้ความเป็นเกย์ที่แท้จริงเพื่อสนับสนุนลูกชายของตน มันน่าขันตรงที่ในัเกิดขึ้นหลังจากศูนย์การเรียนรู้ความเป็นเกย์ที่ดีที่สุดซึ่งคือร้านของเธอเองปิดตัวลงไปแล้ว

นี่คือสารคดีที่สนุกสนาน ทรงพลังและงดงาม ฉายส่องทั้งภาพกว้างและภาพลึกของเกย์ในอเมริกาได้อย่างน่าตื่นเต้นมากๆ


ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่ Netflix

Filmsick
Filmvirus . เม่นวรรณกรรม . documentary club

LATEST REVIEWS